โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |
| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |

ก่อนหน้า  |  ๑๑๑  |  ๑๑๒  |  ๑๑๓  |  ๑๑๔  |  ๑๑๕  |  ๑๑๖  |  ๑๑๗  |  ๑๑๘  |  ๑๑๙  |  ๑๒๐  |  ถัดไป  |

 

๑๑๒. ๑๐๐ ปี สยามกับสงครามโลกครั้งที่ ๑ (๑)

 

 

แผนที่แสดงสถานะของประเทศต่างๆ ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ กับธงชาติของประเทศสัมพันธมิตร

 

 

          นับแต่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้นในยุโรปในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และรุสเซียเป็นผู้นำ กับฝ่ายมหาอำนาจกลางซึ่งประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออตโตมาน และบัลแกเรีย ส่วนประเทศสยามนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศเป็นกลางและคงดำรงความเป็นกลางโดยเคร่งครัดมาโดยตลอด

 

          ครั้นการสงครามในยุโรปดำเนินมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๐ จนทรงตระหนักแน่ด้วยพระปรีชาญาณทางทหารว่า เยอรมันจะต้องพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้เป็นแน่แล้ว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดประชุมเสนาบดีสภาเป็นการลับ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ มีสมาชิกเสนาบดีสภาเข้าร่วมประชุม คือ

 

          ๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช จเรทหารทั่วไป

          ๒. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ

          ๓. พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

          ๔. จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล) เสนาบดีกระทรวงกลาโหม

          ๕. เจ้าพระยาอภัยราชมหายุติธรรมธร (ม.ร.ว.ลพ สุทัศน์) เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม

          ๖. เจ้าพระยาวงศานุประพัทธ (ม.ร.ว.สท้าน สนิทวงศ์) เสนาบดีกระทรวงคมนาคม

          ๗. เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล) เสนาบดีกระทรวงวัง

          ๘. เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย

          ๙. พระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ []

          ๑๐. พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ์) สภาเลขานุการ ทำหน้าที่จดรายงานการประชุม

 

 

สำเนาพระราชโทรเลขของพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ ถวายพระยศนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ

 

 

          ในการประชุมเสนาบดีสภาวันนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีภูริปรีชา สภาเลขานุการอ่านพระราชบันทึกแนวพระราชดำริในการรักษาความเป็นกลางของกรุงสยาม ซึ่งอุปทูตเยอรมันและออสเตรียแสดงความกังวลว่า จะทรงละทิ้งความเป็นกลาง อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสยามได้ช่วยจับพวกอินเดียที่คิดขบถ รวมทั้งได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปช่วยภรรยาและบุตรของทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัม ((Duhram Light Infantry) ซึ่งต่อมาสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ พระราชาธิบดีแห่งประเทศอังกฤษได้มีพระราชโทรเลขมาอัญเชิญให้ทรงรับยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ นอกจากจะทรงตอบรับพระราชไมตรีดังกล่าวแล้ว ยังได้ทรงเชิญสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ ให้ทรงเป็นนายพลเอกของกองทัพบกสยาม นับเป็นครั้งแรกที่ชาวเอเชียได้เป็นนายพลเอกของกองทัพอังกฤษและชาวอังกฤษได้รับยศนายพลเอกของกองทัพบกสยาม

 

 

พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ กับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

 

          แม้ว่าการดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายดังกล่าวจะเป็นการล่อแหลมต่อความเป็นกลางของประเทศสยามก็ตาม แต่ก็ทรงระมัดระวังโดยทรงหารือกระทรวงการต่างประเทศก่อนทุกครั้ง จึงไม่ทรงหวั่นไหวพระราชหฤทัยไปตามที่อัครราชทูตทั้งสองประเทศได้แสดงความกังวลมา แต่ที่ทรงพระปริวิตกนั้นคือ

 

          “ฐานะแท้จริงของกรุงสยามนั้น เป็นอยู่อย่างไร อาณาเขตของเราตกอยู่ในท่ามกลางระหว่างแดนของอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะฉนั้น ถ้าแม้เราแสดงความลำเอียงเข้าข้างเยอรมันแม้แต่น้อย เพื่อนบ้านผู้มีอำนาจ ก็คงจะได้ชนเอาหัวแบนเมื่อนั้น การที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เขายอมให้กรุงสยามคงเป็นกลางอยู่นั้น ก็เพราะเขายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะให้เราเข้ากับเขาเท่านั้น และถ้าเมื่อใดเขารู้สึกว่าความเป็นกลางของเราเป็นเครื่องกีดขวางแก่เขาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยเขาคงจะไม่ยอมให้เราคงเป็นกลางอยู่เป็นแน่แท้” []

 

          แต่ในเวลาที่ทรงนำเรื่องนี้ขึ้นหารือในที่ประชุมเสนาบดีสภานั้น ทรงตระหนักแน่แล้วว่า กลุ่มมหาอำนาจกลางซึ่งนำโดยเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีหมดหนทางที่จะเอาชนะในมหาสงครามครั้งนี้แล้ว และถ้าสยามยังคงเป็นกลางต่อไปก็คงจะมีแต่ เสมอตัว กับ ขาดทุน เพราะถ้าอังกฤษและฝรั่งเศสใจดีก็เสมอตัว แต่ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทมาว่า ฝรั่งเศสจะขอให้สยามไล่ชาวเยอรมันที่ทำราชการออกทั้งหมด และให้เราทำสัญญาการค้าใหม่ให้เขาได้เปรียบเยอรมัน ซึ่งจะเป็นเหตุให้เราต้องวิวาทกับเยอรมันโดยไม่มีใครมาช่วย แต่ถ้าเราเข้าข้างสัมพันธมิตรเสียแล้ว ก็มีแต่ ทางได้ กับ เสมอตัว เพราะเมื่อสงครามสงบลงแล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นชาติที่ชนะสงครามเจรจากับนานาชาติเพื่อแก้ไขสนธิสัญญาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและแก้พิกัดภาษีศุลกากร

 

          อนึ่ง ในเวลานั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วว่า ทั้งฝรั่งเศสและรัสเซียต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่สยามจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่อังกฤษยังคงแสดงท่าทีคัดค้านเพราะคำนึงถึงประโยชน์ทางการค้าอยู่ และถ้าสยามไม่คำนึงถึงท่าทีของอังกฤษแล้ว อังกฤษก็คงจะไม่ยอมรับและคงจะตอบรับการเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรของสยามเช่นเดียวกับที่ตอบประเทศจีนไปก่อนหน้านั้นว่า “ไม่รู้ไม่ชี้ จะทำสงครามกับเยอรมันก็ทำไปตามลำพัง”

 

          เมื่อที่ประชุมเสนาบดีสภาได้พิจารณาในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช และพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้เสนอความเห็นว่า หากสยามจะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ต้องทำอย่างมีเกียรติ ที่ประชุมเสนาบดีสภาในวันนั้นจึงได้มีมติว่า “สยามตกลงจะคุมเชิงไว้จนอังกฤษเปลี่ยนแนว”

 

          แต่อังกฤษก็ยังคงยืนกรานตามแนวทางเดิมตลอดมา ในการประชุมเสนาบดีสภาเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดโดยเชิญทูตสัมพันธมิตรมาหารือพร้อมๆ กัน แต่การนี้ก็ยังไม่เกิดผลอันใดจนกระทั่งวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ จึงทรงแจ้งให้ที่ประชุมเสนาบดีสภาทราบว่า อังกฤษตอบรับแสดงความยินดีที่ประเทศสยามจะเข้าสงครามและร่วมรบในสงคราม ณ ทวีปยุโรป แต่อังกฤษเกี่ยงว่า ทหารไทยเท่าที่ปรากฏไม่เคยได้รบกับใครมาก่อน จึงจะให้ทหารไทยไปขนสัมภาระผ่านทะเลทรายเมโสโปเตเมียและส่งเสบียง ทรงเห็นว่า ข้อเสนอของอังกฤษนี้เป็นการหมื่นเกียรติยศทหารไทย จึงทรงหันไปเจรจากับฝรั่งเศส และเมื่อทูตฝรั่งเศสนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า กองทัพฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนเรื่องการพาหนะ ทั้งเรื่องกองยานยนต์ นักบิน รวมทั้งเรื่องพยาบาลสนาม ขอให้สยามช่วยใน ๓ เรื่องนี้ เมื่อทรงเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของฝรั่งเศส จึงได้ทรงเตรียมการประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย–ฮังการีเป็นลำดับต่อมา

 

 

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องพระมหาพิชัยยุทธสีตามกำลังวัน

เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)

เนื่องในการทรงประกาศสงครามกับเยอรมนี และออสเตรีย - ฮังการี

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐

 

 

          ล่วงพ้นเวลาเที่ยงคืนของวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ย่างเข้าสู่วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้ว จึงได้มีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาทประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี แล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงกลาโหมออกประกาศรับสมัครและคัดเลือกชายฉกรรจ์จำนวนกว่าพันคนจัดเป็นกองทหารบกรถยนต์และกองบินทหารบก พร้อมทั้งหมวดพยาบาล ไปร่วมรบ ณ สมรภูมิทวีปยุโรป

 

 

 


[ ]  ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี

[ ]  ม.ล.ปิ่น มาลากุล. “ก่อนประกาศสงคราม”, มานวสาร ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๗ (กรกฎาคม ๒๕๒๒), หน้า ๙

 

 

ก่อนหน้า  |  ๑๑๑  |  ๑๑๒  |  ๑๑๓  |  ๑๑๔  |  ๑๑๕  |  ๑๑๖  |  ๑๑๗  |  ๑๑๘  |  ๑๑๙  |  ๑๒๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |