โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |

ก่อนหน้า  |  ๓๑  |  ๓๒  |  ๓๓  |  ๓๔  |  ๓๕  |  ๓๖  |  ๓๗  |  ๓๘  |  ๓๙  |  ๔๐  |  ถัดไป  |

 

๓๗. เมืองมหาวิทยาลัย (๒)

 

 

          ส่วนที่ตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนนั้น สภากรรมการจัดการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ เป็นสภานายก

 

 

          "ได้เลือกหาทุกแห่งที่เหมาะเห็นว่าที่ตำบลประทุมวันของพระคลังข้างที่ ด้านตวันออกตกถนนสนามม้ายาว ๓๙ เส้น ด้านตะวันตกตกคลองสวนหลวงยาว ๓๒ เส้น ด้านเหนือตกถนนบำรุงเมืองยาว ๓๔ เส้น ๓ วา ด้านใต้ตกถนนหัวลำโพงนอกยาว ๓๖ เส้น มีถนนพญาไทอยู่ในระหว่าง แลวังประทุมวันกับโรงเรียนเกษตร์เดิมอยู่ในพื้นที่นี้ เปนที่อยู่ในท่ามกลางพระนครไชยภูมิ์เหมาะดี สมควรจะเปนที่ตั้งมหาวิทยาลัยหลักพระนครสืบไป สภาจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงพระมหากรุณาเปนล้นเหลือ พระราชทานที่รายนี้ให้เช่าเท่าผลประโยชน์ของพระคลังข้างที่ที่ได้อยู่เดี๋ยวนี้ แลพระราชทานให้เช่าโดยไม่มีกำหนดปี นับว่าโรงเรียนนี้ได้รับพระบรมราชูปถัมภ์ส่วนพระองค์เปนอย่างยิ่งส่วนหนึ่ง ...

 

          ส่วนการที่จะฝึกสอนในโรงเรียนนี้นั้น จะจัดเปนโรงเรียนอุดมศึกษาสอนวิชาความรู้เฉภาะอย่างซึ่งกำหนดให้ ในความมุ่งหมายของโรงเรียนว่า จะมีเปน ๘ แพนก คือ ๑ การปกครอง ๒ กฎหมาย ๓ การทูต ๔ การช่าง ๕ การแพทย์ ๖ การเพาะปลูก ๗ การค้าขาย ๘ การเปนครู ..."  []

 

 

          แล้วจะได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ โรงเรียนกฎหมาย โรงเรียนยันตรศึกษา โรงเรียนราชแพทยาลัย ฯลฯ ซึ่งในเวลานั้นยังคงเปิดสอนแยกกันอยู่ในที่ต่างๆ ให้มารวมกันอยู่ในที่ดินที่พระราชทานให้ใหม่นี้ และเมื่อการเป็นไปตามพระราชดำริแล้ว ก็จะทำให้ในอาณาบริเวณโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับพระนครนี้ มีโรงเรียนสำหรับวิชาต่าง ๆ ทำนองเดียวกับวิทยาลัย หรือ College กระจายกันอยู่ทั่วทั้งบริเวณ เฉกเช่นมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดที่มีวิทยาลัยถึง ๒๕ วิทยาลัยกระจายอยู่ทั่วเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ด โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งต่างก็เป็นหน่วยจัดการปกครองและให้การศึกษาแก่นิสสิต ส่วนมหาวิทยาลัยนั้นคงจัดแต่เรื่องสอบไล่และให้ปริญญา

 

          แม้จะโปรดเกล้าฯ ให้จัดรูปแบบโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ เป็นเมืองมหาวิทยาลัยตามแบบอังกฤษแล้วก็ตาม แต่การที่จะจัดมหาวิทยาลัยตามแบบอ๊อกซ์ฟอ์ดและเคมบริดซ์ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนประจำต่อยอดไปจากพับลิคสกูลนั้น คงจะเป็นที่ตระหนักแน่ในพระราชหฤทัยว่า จะต้องใช้เงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในจัดการสูงมาก มหาวิทยาลัยรุ่นใหม่ ๆ ทั้งในอังกฤษและภาคพื้นยุโรปตลอดทั้งสหรัฐอเมริกาจึงเลือกที่จะจัดตามแผนโรงเรียนกลางวัน ซึ่งนักเรียนมาเรียนแล้วก็กลับบ้าน ไม่ต้องพักอาศัยประจำในโรงเรียนเฉกเช่นโรงเรียนประจำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดการของโรงเรียนประเภทนี้ลงมาก นอกจากนั้นยังมีพระราชดำริว่า "เราทุนน้อย จะให้ได้งานมากก็ต้องเลือกเอาข้างโสหุ้ยน้อยอยู่เอง"  [] และในเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องมีมหาวิทยาลัยเพื่อ "จะได้เป็นตลาดวิชาของเมืองไทย ไม่เป็นแต่เพียงที่เพาะข้าราชการไว้ใช้"  [] จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น "จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตามแผนโรงเรียนกลางวัน โดยอาศัยรูปแบบการจัดการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของสหรัฐอเมริกา และมหาวิทยาลัยอิมพีเรียลของประเทศญี่ปุ่นที่ได้เสด็จทอดพระเนตรมาแล้วเมื่อคราวนิวัติพระนคร พ.ศ. ๒๔๔๕ ทั้งมหาวิทยาลัยทั้งสองต่างก็รับแนวคิดและวิธีจัดการมาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดและเคมบริดซ์ของอังกฤษ และในตอนปลายรัชกาลยังได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์เป็นข้าหลวงตรวจจัดการศึกษา (Education Inspector General) ออกไปทรงเจรจาขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุนและนักวิชาการจากมูลนิธิรอกกี้เฟลเลอร์ (Rocky Feller Foundation) จนสามารถเปิดสอนหลักสูตรเวชศาสตร์บัณฑิต ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๔๖๗

 

 

สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง

ประทับฉายพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมด้วยพระราชโอรสทั้ง ๕ พระองค์

(จากซ้าย)

๑. นายพลเรือเอก สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครราชสีมา

๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

๓. จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

๔. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง

๕. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

๖. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย

 

 

          อนึ่ง เนื่องจากที่ดินพระคลังข้างที่เนื้อที่ ๑,๓๐๙ ไร่ ซึ่งได้พระราชทานให้โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ หรือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่าเท่าผลประโยชน์ของพระคลังข้างที่ที่ได้รับอยู่ใน พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยไม่มีกำหนดปีนั้น เป็นที่ดินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นพระราชมรดกแก่ "๖ เจ้าฟ้า" ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสพระราชธิดาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี และสมเด็จพระศรีสวินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า คือ

 

 

สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

ประทับฉายพระฮายาลักษณ์พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา

(จากซ้าย)

๑. สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า

๒. สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

๓. สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร

 

 

          ๑) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ []

          ๒) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครราชสีมา []

          ๓) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย

          ๔) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนศุโขทัยธรรมราชา []

          ๕) สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ []

          ๖) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ []

 

ซึ่งพระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) คุณมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เล่าไว้ว่า

 

 

          "การพระราชทานที่ดินที่จะให้สร้างมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณครั้งนี้ พระองค์มิได้ทรงถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดิน เพราะทรงทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินพระราชมรดกของ ๖ เจ้าฟ้า ทางที่ดีทรงพระราชดำริว่าควรขอเช่าจากพระคลังข้างที่ เจ้าของที่ดินของผู้รับพระราชทานพระราชมรดกจะได้ไม่เสียผลประโยชน์ แต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องส่วนพระองค์ เป็นเรื่องระดับชาติ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติสมควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ ครั้นจะทรงเจรจากับพระเจ้าพี่ยาเธอกรมพระจันทบุรีนฤนาถ (สมัยนั้นยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหลวง) เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติฉันพี่น้องก็ทรงเกรงพระทัย เพราะกรมหลวงจันทบุรีฯ เคยกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เงินเปลืองนัก ถ้าเรื่องหนึ่งเรื่องใดทางกระทรวงวังตั้งเบิกไป ก็มักจะถูกซักไซ้ไล่เรียงกว่าจะได้รับเงินลางครั้งลางคราวก็ไม่ทันการใช้จ่าย ส่วนมากเสนาบดีกระทรวงวังต้องสับเปลี่ยนหมุนเวียนเอาเงินประเภทอื่นมาใช้จ่ายก่อนเพื่อให้ทันกิจการที่จะต้องปฏิบัติให้ลุล่วงไป ลงท้ายทางกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจึ่งตั้งงบประมาณพระมหากษัตริย์ขึ้น คือจัดเป็นเงินน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดจนกระทั่งเงินเดือนและค่าใช้สอยของกรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. ด้วย เป็นจำนวนเงินปีละ ๖ ล้านบาท (จนกระทั่งประเทศสยามประกาศสงครามกับประเทศเยอรมันและเอ๊าสเตรียฮังการีจนได้ชัยชนะแล้ว เงินน้อมเกล้าฯ ถวายประจำปีจึงเพิ่มขึ้นเป็น ๘ ล้านบาท)

 

          นอกจากทรงเกรงพระทัยเป็นส่วนพระองค์แล้ว ยังทรงพระราชดำริเห็นว่า ถ้ากรมพระจันทบุรีฯ บอกปัดโดยยกเหตุขัดข้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมากล่าว พระราชดำริการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของพระองค์จะพลอยล้มเหลวไปด้วย โดยเหตุดังกล่าวแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริที่จะพระราชทานที่ดินรายนี้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเพื่อมิให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติบอกปัดความรับผิดชอบ จึ่งมีพระบรมราโชบายเรียกพระองค์เจ้าศุภโยคเกษม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหม่อมเจ้าเณรยังมิได้ทรงสถาปนาเป็นพระองค์เจ้า และดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงพระคลังมหาสมบัติให้เข้ามาเฝ้า รับสั่งเล่าถึงพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานที่ดินพระราชมรดก ๖ เจ้าฟ้า เพื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณให้หม่อมเจ้าเณรฟัง แล้วรับสั่งว่าเพื่อมิให้เจ้าของที่ดินต้องเสียผลประโยชน์ จึงมีพระบรมราชโองการให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติไปจัดทำสัญญาเช่าที่ดินรายนี้กับกรมพระคลังข้างที่เป็นอัตราค่าเช่าปีละ ๖ หมื่นบาท เพราะกรมพระคลังข้างที่เป็นผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ให้ราษฎรเช่าอยู่ในขณะนั้น ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติรับโอนการเก็บค่าเช่ามาทำเสียเอง ถ้าเก็บค่าเช่าที่ดินได้เกินกว่า ๖ หมื่นบาท เมื่อชำระค่าเช่าต่อกรมพระคลังข้างที่แล้ว เหลือเท่าไรก็มอบให้เป็นเงินค่าใช้จ่ายของมหาวิทยาลัยต่อไป ถ้าหากเก็บค่าเช่าได้ไม่ถึง ๖ หมื่นบาท ยังขาดเท่าไรก็ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติชดใช้ส่วนที่ขาดจนเต็มอัตราตามสัญญาเช่า

 

          เมื่อหม่อมเจ้าเณรปลัดทูลฉลองฯ รับพระบรมราชโองการแล้ว ก็นำความมาเรียนปฏิบัติต่อเสนาบดีกระทรวงพระคลังฯ เสนาบดีรับสั่งว่า "แกเป็นผู้รับพระบรมราชโองการมา แกก็ต้องเป็นผู้ไปทำสัญญาเช่าต่อพระคลังข้างที่ เมื่อมีพระบรมราชโองการก็ต้องปฏิบัติตาม และจะขัดพระบรมราชโองการมิได้"

 

          หม่อมเจ้าเณรไปจัดทำสัญญาเช่าต่อกรมพระคลังข้างที่ตามพระบรมราชโองการแล้ว ก็ได้โอนบัญชีการเก็บค่าเช่าที่ดินมาให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพระคลังฯ จัดการเก็บค่าเช่าเสียเอง พอครบรอบอายุการเช่า ๑ ปี สำรวจเงินค่าเช่าที่เก็บได้ทั้งหมดเพียงหมื่นบาทกว่าๆ เท่านั้น กระทรวงพระคลังต้องจ่ายเพิ่มเติมให้แก่กรมพระคลังข้างที่เกือบ ๕ หมื่นบาท"  []

 

 

          อนึ่ง ที่ดินที่พระราชทานให้จุฬาลงกรณ์เช่านี้ เมื่อแรกที่พระราชทานให้เช่านั้นยังมิได้มีการออกโฉนดที่ดิน และเมื่อมีการสำรวจออกโฉนดในเวลาต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นไว้ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉะนั้นเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ แล้ว ที่ดินแปลงนี้จึงถูกโอนกรรมสิทธิ์ไปเป็นของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพราะทางราชการถือว่า โฉนดที่ดินแปลงนี้ออกในพระปรมาภิไธยและวันที่ออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จดำรงสิริราชสมบัติแล้ว ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นทรัพย์สินที่ทรงได้มาเมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว จึงตกอยู่ในฐานะทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

 

          ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติว่า "สมควรโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นสถานศึกษาและค้นคว้าในศาสตร์ต่างๆ และเพื่อจะส่งเสริมวิชาชีพชั้นสูงและทำนุบำรุงวัฒนธรรมแห่งชาติสืบไป"  [๑๐] จึงได้พร้อมกันตรา "พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๔๘๒" ขึ้น มีผลให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยเป็นสิทธิ์ขาดโดยสมบูรณ์ และได้มีการจัดประโยชน์ในที่ดินให้เป็น "เมืองมหาวิทยาลัย" อันก่อให้เกิดรายได้เป็นทุนสนับสนุนการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยสมดังพระบรมราชปณิธานในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบมาจนถึงปัจจุบัน

 

 

 


[ ]  "หัวข้อคิดจัดการโรงเรียนข้าราชการพลเรือน", ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ (๙ กุมภาพันธ์ ๑๓๑), หน้า ๒๕๖๖ - ๒๕๗๒.

[ หนังสือมหาวิทยาลัย ฉบับ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๐ : มหาธีรราชานุสรณ์ , หน้า ๓๔๕ – ๓๔๙.

[ ที่เดียวกัน

[ ]  ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

[ ]  ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น นายพลเรือเอก สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนครราชสีมา

[ ]  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

[ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร

[ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก

[ พระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช). "กบฏ ๑๓๐", มานวสาร ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓ (มีนาคม ๑๓๐), หน้า ๒๗ - ๒๘.

[ ๑๐ "พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๔๘๒", ราชกิจจานุเบกษา ๕๖ (๓๐ ตุลาคม ๒๔๘๒, หน้า ๑๓๖๔ - ๑๓๖๖.

 

 

 

 

ก่อนหน้า  |  ๓๑  |  ๓๒  |  ๓๓  |  ๓๔  |  ๓๕  |  ๓๖  |  ๓๗  |  ๓๘  |  ๓๙  |  ๔๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |