โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |

ก่อนหน้า  |  ๗๑  |  ๗๒  |  ๗๓  |  ๗๔  |  ๗๕  |  ๗๖  |  ๗๗  |  ๗๘  |  ๗๙  |  ๘๐  |  ถัดไป  |

 

๗๓. การประลองยุทธ์เสือป่าและลูกเสือ (๒)

 

 

          เหตุที่ทรงเลือกท้องทุ่งจังหวัดนครปฐมและราชบุรีเป็นสถานที่ซ้อมรบเสือป่าเป็นประจำทุกปีนั้น มีพระบรมราชาธิบายว่า
"การสงครามโดยมากไม่ได้ทำกันในเมือง มักจะทำกันในทุ่งหรือในป่าเปนพื้น, ฉนั้นเมื่อจัดการซ้อมรบขึ้นจึ่งจำเปนที่จะต้องไปฝึกซ้อมตามหัวเมือง, จึ่งจะได้รับผลอย่างเต็มที่;"
  [] และเนื่องจากยุทธศาสตร์การป้องกันพระราชอาณาเขตของกระทรวงกระลาโหมนั้น กำหนดไว้ว่าหากมีอริราชศัตรูยกกำลังเข้ามารุกรานพระนครดังเช่นเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ กองทหารที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศจะถูกระดมกำลังลงมาป้องกันกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริหารราชการ เว้นแต่กองพลที่ ๔ มณฑลราชบุรี ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงเสนาธิการทหารบก ซึ่งเป็นหน่วยพิเศษมีหน้าที่ป้องกันอริราชศัตรูที่จะยกขึ้นมาจากคาบสมุทรมลายูซึ่งสยามมีข้อตกลงลับกับอังกฤษกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร ฉะนั้นการที่ทรงกำหนดให้เสือป่ากองเสนาหลวงรักษาพระองค์มาซ้อมรบในท้องทุ่งจังหวัดราชบุรีและนครปฐมซึ่งจะเป็นทางผ่านไปสู่พระราชวังสนามจันทร์ซึ่งจะทรงใช้เป็นที่มั่นสุดท้ายในการป้องกันพระราชอาณาจักร เพื่อให้เสือป่าในสังกัดกองเสนาหลวงซึ่งมีพระราชประสงค์จะให้เป็นกองกำลังรักษาพื้นที่แทนทหารที่ถูกระดมไปต่อต้านศัตรูผู้รุกรานในแนวหน้า ให้เสือป่าได้คุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศเป็นพื้นที่ซ้อมรบใหญ่กินอาณาบริเวณ ดังนี้

 

          "จังหวัดนครปฐม ทิศเหนือ - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๑ ทางเกวียนสามแยกบ้านลำพยาตัดตรงไปทางตวันออกถึงหลักหมายเลข ๒ ถนนยิงเป้า หลักหมายเลข ๓ ถนนบางแขม แลต่อไปถึงหลักหมายเลข ๔ ทางเกวียนสามแยกมุมรั้วสวนนันทอุทยานทางตวันออกเฉียงเหนือตำบลห้วยจรเข้ ทิศตวันออก - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๔ ทางเกวียนสามแยกมุมรั้วสวนนันทอุทยานทางตวันออกเฉียงเหนือไปตามทางเกวียนถึงหลักหมายเลข ๔ สามแยกปากคลองบางเตยตำบลห้วยจรเข้ ทิศใต้ - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๕ สามแยกปากคลองบางเตยเลียบไปตามลำคลองบางแขมฝั่งเหนือ ถึงหลักหมายเลข ๖ สามแยกวัดบางแขม ตำบลบางแขม ทิศตวันตก - ตั้งแต่หลักหมายเข ๖ สามแยกวัดบางแขมยืนตรงไปทางเหนือ ถึงหลักหมายเลข ๗ ริมทางเกวียนหน้าวัดราษฎร์ศรัทธาทำ แลต่อไปบรรจบหลักหลายเลข ๑ ทางเกวียนสามแยกบ้านลำพยาตำบลสนามจันทร์ ซึ่งเปนหลักต้นของทิศเหนือ

 

          จังหวัดราชบุรี ทิศเหนือ - ตั้งแต่บ้านคลองท่าผาตรงหลักหมายเลข ๑ ยืนขึ้นไปทางทิศตวันออกผ่านหลังบ้านหนองปลาตอง ถึงหลักหมายเลข ๒ ตรงวัดธรรมกิจพฤกษา (วัดบ้านยาง) ทิศตวันออก - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๒ ตัดตรงไปทางทิศใต้ผ่านบ้านหนองปลาดุก บ้านบึงกระจับ บ้านหนองอ้อ บ้านหนองหญ้าปล้องหนองแพะ บ้านเลือก อ้อมตามแนวบ้านฆ้อง บ้านดีบอน บ้านกำแพง บ้านท่ามะขาม บ้านโคกคราม ถึงบ้านสามเรือน ตามแนวหลักตั้งแต่หมายเลข ๒ ถึงหลักหมายเลข ๔๒ ทิศใต้ - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๔๒ บ้านสามเรือนยืนตรงไปทางทิศตวันตก ถึงหลักหมายเลข ๔๓ ตำบลบ้านกล้วย ทิศตวันตก - ตั้งแต่หลักหมายเลข ๔๓ บ้านกล้วย เลียบริมทางรถไฟด้านตวันออก ผ่านคลองยายคลัง บ้านเจ็ดเสมียน บ้านโพธาราม คลองตาคต บ้านนครชุม ผ่านหน้าสถานีรถไฟบ้านโป่ง แลข้ามทางรถไฟตรงวัดดอนตูม ตั้งแต่หลักหมายเลข ๔๓ ถึงหลักหมายเลข ๖๐ หลังค่ายหลวงบ้านโป่ง ไปบรรจบหลักหมายเลข ๑ บ้านคลองท่าผา ซึ่งเปนหลักต้นของทิศเหนือ"  []

 

 

ผังแสดงที่ตั้งหมู่พระที่นั่ง พระตำหนัก

เรือนพักข้าราชบริพาร ทหารมหาดเล็ก พระตำรวจหลวงและลูกเสือหลวง

ภายในพระราชวังสนามจันทร์

 

 

          ส่วนเหตุผลที่โปรดพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๑,๐๕๐ บาท ให้พระยาสุนทรบุรีศรีพิชัยสงคราม (ชม สุนทรารชุน) [] ข้าหลวงเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลนครไชยศรี จัดซื้อที่ดินไร่ผักบริเวณสระน้ำจันทร์ใกล้องค์พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม จากจีนมีชื่อ ๒ ราย ได้เนื้อที่รวม ๘๘๘ ไร่ ๓ งาน ๒๔ ตารางวา แล้วโปรดเกล้าฯ ให้หลวงสิทธิ นายเวร (น้อย ศิลปี) [] เป็นแม่กองจัดสร้างพระราชฐานที่ประทับ พร้อมเรือนพักข้าราชบริพารขึ้นในที่ดินผืนนั้นมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็นแม่กองอำนวยการบูรณะพระปฐมเจดีย์มาตั้งแต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้แก่มหาดเล็กที่ได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทว่า พระราชวังสนามจันทร์นั้นไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีเส้นทางรถไฟที่สะดวกแก่การลำเลียงพลและยุทธสัมภาระต่างๆ จากกรุงเทพฯ เหมาะที่จะใช้เป็นฐานที่มั่นและปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันประเทศ จึงทรงวางผังพระราชวังสนามจันทร์นี้ไว้แตกต่างจากพระราชฐานที่ประทับทั่วไป กล่าวคือทรงกำหนดให้หมู่พระที่นั่งและพระตำหนักซึ่งเป็นที่ประทับอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเรือนพักข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ แล้วถัดออกไปรอบนอกจัดเป็นเรือนพักของทหารมหาดเล็ก พระตำรวจหลวง และมหาดเล็กซึ่งตามเสด็จออกไปในเวลาแปรพระราชฐานไปประทับแรมที่นั้น

 

          นอกจากนั้นยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดซื้อที่ดินริมแม่น้ำแม่กลองในพื้นที่อำเภอบ้านโป่งจัดเป็นเป็นค่ายหลวงบ้านโป่ง ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนทรงพลเป็นเส้นทางลำเลียงพลระหว่างพระราชวังสนามจันทร์กับค่ายหลวงบ้านโป่ง และได้โปรดเกล้าฯ ให้ปลูกสร้างเรือนต้น เป็นพลับพลาที่ประทับภายในค่ายหลวงบ้านโป่ง

 

"มีลักษณะเรือนอย่างพวกมั่งมีไทยๆ คือเป็นเรือนหลังคามีจั่ว ๓ เหลี่ยมแหลมๆ เป็นเรือนสำหรับบรรทมหลัง ๑ เรือนสำหรับประทับทรงพระสำราญและทรงพระอักษรหลัง ๑ จากนั้นก็มีหอรี หอขวางอีก ๒ - ๓ หลัง ตอนกลางมีชานกว้างขวาง มีบันไดสำหรับขึ้นลงได้ ๒ - ๓ บันได ท่วงทีเหมือนพระตำหนักเรือนต้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ทรงปลูกขึ้นในเขตพระราชวังดุสิต และยังมีเรือนแถวยาวไม่น้อยกว่า ๗ ห้องหรือ ๘ ห้องปลูกไว้อีกหลัง ๑ หรือ ๒ หลัง ซึ่งเป็นที่พักของพวกมหาดเล็ก มีเรือนหลังย่อมๆ มีครัว มีส้วม เป็นหลังๆ คล้ายที่เราเรียกกันว่ากระท่อม ๓ - ๔ หลัง นัยว่าเป็นที่พักของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ห่างจากพระที่นั่งเรือนต้นไปทางหน้าสัก ๑๕ วา มีเรือนแถวชั้นเดียวสำหรับทหารมหาดเล็กอยู่ เรียกว่าการ์ดเป็นยามรักษาพระองค์ รอบนอกของค่ายหลวงกว้างยาวราวด้านละ ๖ - ๗ เส้น ขุดเป็นคูเอาดินถมเป็นคันทางด้านพระตำหนัก"  []

 

          ส่วนที่พักของเสือป่านั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวิชิตณรงค์ [] (สรวง ศรีเพ็ญ) ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นแม่กองปลูกสร้างขึ้น ๔ หลัง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เป็นโรงไม้ไผ่ยาวหลังละ ๑ เส้น ภายในกว้างราว ๔ วาเศษ หลังคามุงจาก ฝาบุด้วยตับจาก หน้าต่างไม่มี มีแต่ประตู ๒ ประตูที่หัวโรงท้ายโรง ภายในโรงมีแคร่ยกขึ้นมาพ้นพื้นดินราว ๒ ศอก จัดเป็นที่สำหรับนอนเป็น ๔ แถว นอนได้แถวละ ๕๐ คือแถวริมทั้ง ๒ ข้างเอาศีรษะไปทางฝา ส่วนแถวกลางนั้นนอนกันได้ ๒ แถวเอาศีรษะชนกัน ตรงกลางเว้นเป็นทางเดินปูด้วยไม้กระดานที่เรียกกันในเวลานั้นว่าไม้สิงคโปร์ โรงหนึ่งนอนได้ราว ๒๐๐ คน รวม ๔ หลังนอนได้ราว ๘๐๐ คน หมอนหนุนศีรษะไม่มี ต้องใช้ถุงย่ามประจำตัวใส่เสื้อผ้าหนุนแทนหมอน ส่วนรองเท้านั้นห้ามไม่ให้วางไว้บนทางเดินหรือปลายเท้า ต้องนำไปวางไว้เคียงกับย่ามที่ใช้หนุนศีรษะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เสือป่าและลูกเสือทุกคนต้องทำความสะอาดรองเท้าเสียก่อนที่จะเอาขึ้นไปวางขนานไว้ซ้ายขวาระหว่างศีรษะเช่นนั้น และก่อนที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสือป่าและลูกเสือยกมาประชุมพลที่ค่ายหลวงบ้านโป่งในปีเดียวกันนั้น ยังได้มีพระราชหัตถเลขากำชับไปยังผู้เกี่ยวข้องให้จัดดำเนินการเรื่องสุขาภายในค่ายพักให้ถูกสุขลักษณะ ดังนี้

 

                                                                                                                "พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์

 

วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙

 

ถึง นายพลเสือป่า เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี

เกียกกายกองเสนาหลวง ร.อ.

 

          ด้วยการจัดการเรื่องเว็จและที่ถ่ายปัสสาวะสำหรับเสือป่า ตามที่ได้เคยทำมาแล้วยังไม่สู้จะเรียบร้อย เพราะฉนั้นในปีนี้ข้าพเจ้าขอมอบเป็นน่าที่ท่านเป็นผู้อำนวยการอันนี้ เพราะพระยามหาอำมาตย์สังกัดอยู่ในแพนกเกียกกาย จะได้อาศัยกำลังฝ่ายบ้านเมืองได้

 

          ข้าพเจ้าได้ส่งคำชี้แจงวิธีทำเว็จและที่ถ่ายปัสสาวะมาพร้อมกับจดหมายนี้ด้วยแล้ว ถ้าท่านยังสงสัยข้อใด ขอให้ถามข้าพเจ้า จะได้ชี้แจงให้ทราบ

 

ราม วชิราวุธ นายพลเสือป่า

ผู้บัญชาการกองเสนาหลวง ร.อ."  []

 

          ครั้นเริ่มการซ้อมรบใหญ่ประจำปีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๙ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานกรมวังปลูกเต็นท์ที่ประทับขึ้นในพื้นที่ว่างใกล้ที่ว่าการอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สำหรับเป็นที่ประทับแรมในระหว่างทรงอำนวยการซ้อมรบในทุ่งโพธารามขึ้นก่อน แล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งค่ายหลวงโพธารามขึ้นในบริเวณนั้นอีกแห่งหนึ่งในเวลาต่อมา ถัดมาใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดค่ายหลวงขึ้นในสนามซ้อมรบใหญ่อีก ๒ แห่ง คือ ที่บ้านคลองตาคด พลับพลาปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ ฝาไม้ไผ่ หลังคามุงจาก พื้นเป็นไม้สิงคโปร์ ส่วนที่พักเสือป่าก็ปลูกสร้างด้วยไม้ไผ่ กับอีกแห่งหนึ่งในบริเวณวัดเจ็ดเสมียน

 

          อนึ่ง เมื่อทรงจัดให้มีการซ้อมรบใหญ่เสือป่าครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒ -๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๔ นั้น ทรงประจักษ์ชัดด้วยสายพระเนตรว่า การซ้อมรบนั้นมีประโยชน์หลายประการ อาทิ

 

          ๑. ฃ้าราชการซึ่งมีน่าที่แต่ฝ่ายพลเรือน และที่มิได้เคยคิดถึงฤาเฃ้าใจความลำบากแห่งผู้กระทำน่าที่อย่างทหาร จะได้เฃ้าใจและเห็นความจริงเสียบ้าง จะได้บันเทาความเฃ้าใจผิดที่คิดเห็นไปว่า ทหารไม่ต้องทำอะไรนอกจากแต่งตัวงามๆ เที่ยวเดินฉุยฉายเล่น ผู้ที่ได้มาซ้อมรบแล้วคงจะได้รู้สึกแล้วว่าการทำน่าที่อย่างทหารเปนการยากเพียงใด ต้องมีความอดทนและกรากกรำเพียงใด จะได้เห็นใจเสียบ้างว่าทหารเฃาก็ต้องทำงานเหน็จเหนื่อยเหมือนกัน ไม่ใช่จะมีผู้เหน็จเหนื่อยแต่ฃ้าราชการพลเรือน เมื่อเห็นใจกันเช่นนี้แล้ว ก็พอจะเปนที่หวังได้ว่าจะเปนผลให้ฃ้าราชการทหารกับพลเรือนกลมเกลียวกันได้ยิ่งขึ้น

 

          ๒. การซ้อมรบเปนโอกาศอันดีที่ฃ้าราชการจะได้เห็นใจกันและกันดียิ่งกว่าเวลาปรกติ เพราะในเวลาปรกติจะพบกันก็แต่ในที่ทำการ และจะได้พูดจากันก็เปนแต่ในข้อความซึ่งเนื่องด้วยการงานในน่าที่ของตนๆ ไม่ได้แลเห็นน้ำใสใจจริงว่าใครเปนอย่างไร จึ่งฃาดความไว้ใจกันแลฃาดความนับถือแท้จริงอันบังเกิดมาได้แต่โดยทางคุ้นเคยรู้อัธยาไศรยซึ่งกันและกัน ในเวลาปรกติบุคคลไป ณ ที่ทำการอาจที่จะสำแดงกิริยาอาการอย่าง ๑ ซึ่งไม่ตรงกับกิริยาอาการอันเปนนิไสยจริงได้ แต่ในเวลาเมื่อมาซ้อมรบ จะทำกิริยาที่ไม่ตรงกับนิไสยแท้จริงให้ตลอดเวลานั้นย่อมไม่ได้อยู่เอง เพราะฉนั้นการดูคนในเมื่อมาซ้อมรบด้วยกันก็เปรียบเหมือนดูโขนที่ไม่ได้ใส่หน้า คงจะต้องแลเห็นได้เปนแน่ว่าสรวยไม่สรวยเพียงใด

 

          ๓. เมื่อมาซ้อมรบเปนเวลาซึ่งจำจะต้องกรากกรำลำบาก ต้องมีความอดทนจริงอย่างที่เรียกกันว่า "เปนลูกผู้ชาย" แท้ ไม่ใช่เปนผู้ชายสักแต่ชื่อเท่านั้น ผู้ที่ได้กรากกรำลำบากแล้ว จะได้แลเห็นชัดเจนว่าตนมีกำลังกายเพียงใด จะรู้ได้ว่าตนสามารถอดทนได้เพียงใด แล้วก็คงจะมีความอุสาหพากเพียรทำการงานให้แขงแรงขึ้นได้กว่าเก่าอีก คนโดยมากที่เคยทำแต่การอย่างพลเรือนมักไม่รู้ว่าตนเองมีกำลังเพียงไร เพราะไม่เคยออกกำลัง จึ่งมักสำคัญเสียว่าตนมีกำลังน้อยกว่าที่มีอยู่แท้จริง และมักคอยถนอมกำลังระวังไม่หักโหมตนให้มากเกินกว่าที่จะทนได้ การงานพอที่จะทำได้มาก ก็ต้องทำให้น้อย เพราะฉนั้นการที่ได้รู้กำลังตนเองเสียนั้น จึ่งน่าจะเปนผลดีแก่ราชการได้เปนอันมาก"  []

 

 

 


[ ]  นายกองเอก หม่อมเจ้า ชัชวลิต เกษมสันต์. "ขอให้เหลียวดูเสือป่าบ้าง", ดุสิตสมิต เล่ม ๑ ฉบับพิเศษ สำหรับเปนที่ระฦกในงานเฉลิมพระชนมพรรษา, หน้า ๓๖ - ๓๘.

[ "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดเขตบริเวณที่ทำการซ้อมยุทธวิธีทหารแลเสือป่า", ราชกิจจานุเบกษา ๓๕ (๒๘ เมษายน ๒๔๖๑), หน้า ๙๖ - ๙๘.

[ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาศรีวิไชยชนินทร์

[ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวิศุกรรมศิลปประสิทธิ์

[ พระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี (สรวง ศรีเพ็ญ). เล่าให้ลูกฟัง, หน้า ๙๓.

[ ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี

[ พระราชหัตถเลขา ถึง เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ม.ร.ว.ปุ้ม มาลากุล)., หน้า ๑๕๓.

[ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.๖ บ. ๑๖.๔/๓ เรื่อง ซ้อมรบสมาชิกกองเสือป่า (๒๗ มกราคม - ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๔)

 

 

ก่อนหน้า  |  ๗๑  |  ๗๒  |  ๗๓  |  ๗๔  |  ๗๕  |  ๗๖  |  ๗๗  |  ๗๘  |  ๗๙  |  ๘๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |