"ในปลายปีนี้ต้องนับว่าประเทศสยามเราได้เปลี่ยนฐานะใหม่ตอนหนึ่งแล้ว
คือเราได้พยายามที่จะตั้งบ้านเมืองของเราให้มั่นคงขึ้นไปเปนเวลาช้านาน
ถ้าจะพูดถึงแต่เพียงเมื่อครั้งตั้งเปนกรุงศรีรัตนโกสินทร์แล้วนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต้นๆ
แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ๓ พระองค์นั้น
ได้ทรงพยายามที่จะรวบรวมบ้านเมืองไทยให้เปนปึกแผ่นต่อสู้กับสัตรูข้างเคียงของเราตามคติแผนโบราณ
และก็ได้เป็นผลสำเร็จตลอดมา
ครั้นต่อมามีภัยอื่นเปนของใหม่ใกล้เข้ามา
คือภัยอันอาจจะเกิดขึ้นได้จากความสัมพันธ์กับพวกฝรั่งหากเรากลับตัวไม่ทัน
ภัยอันนั้นประเทศที่ใกล้เคียงของเราไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ต้องพ่ายแพ้ไป
กลับกลายไปเปนเมืองขึ้นของประเทศทางฝ่ายยุโรปต่างๆ
โดยรอบข้าง
มีเฉภาะแต่ประเทศสยามเราแห่งเดียวที่สามารถรักษาตนมาได้
ทั้งนี้ต้องนับว่าเปนไปด้วยพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินในอดีตกาล
ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปนต้นมา
ในสมัยนั้นเปนเวลาที่ฝรั่งเข้ามาในเมืองไทยมาก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเห็นสิ่งสำคัญว่า
ในการที่เราจะรักษาอิศรภาพของเรานั้น
จำจะต้องเรียนให้รู้วิชาของพวกฝรั่งเหล่านั้น
แล้วและแก้ไขการปกครองของบ้านเมืองให้ทันเขา
นั่นเปนวิธีเดียวที่จะรักษาอิศรภาพไว้ได้
ด้วยเหตุนั้นจึ่งได้ทรงพระราชอุสาหะเล่าเรียนภาษาฝรั่งขึ้น
ต่อมาเมื่อได้เสวยราชสมบัติแล้ว
ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระราชโอรสของพระองค์ท่านทุกพระองค์ได้ทรงเล่าเรียนภาษาต่างประเทศ
พระบรมราโชบายอันนี้มีผลใหญ่หลวงที่สุดอันหนึ่ง
ซึ่งดูเหมือนเปนสิ่งเล็กน้อย
แต่นั่นเองทำให้เราทรงฐานะอยู่ได้จนบัดนี้
ในรัชสมัยของพระองค์ท่านความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับชาวยุโรปได้ทวีมากขึ้นตามลำดับ
และได้ทรงเปิดโอกาศให้ชาวยุโรปได้เข้ามาทำมาค้าขายในประเทศสยามโดยสดวก
ครั้นต่อมา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้ายู่หัวได้ทรงดำเนินพระบรมราโชบายอันนั้นต่อมาด้วยพระปรีชาญาณอันยอดเยี่ยมหาที่เปรียบมิได้
นับว่าเปนเคราะห์ดีที่สุดของประเทศสยาม
ที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระปรีชาญาณ
และน้ำพระราชหฤทัยอันสุจริตต่อบ้านเมืองเปนอย่างเอกจะหาเทียมมิได้
ข้าพเจ้าไม่จำเปนต้องกล่าวว่า
ในรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองได้เจริญขึ้นเพียงใด
เพราะย่อมทราบอยู่ด้วยกันแล้ว
ครั้นภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงดำเนินราโชบายนั้นต่อมา
ได้ทรงพระราชดำริห์แก้ไขและเพิ่มเติมพระราชกำหนดกฎหมายให้เหมาะกับกาลสมัยเปนลำดับมา
ครั้นเมื่อประสบโอกาศเหมาะ
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดการเจรจากับต่างประเทศเพื่อแก้ไขสัญญาใหม่ให้ประเทศสยามได้อิศรภาพบริบูรณ์ในทางศุลกากรและให้เลิกศาลกงสุลทุกประเทศ
พระบรมราโชบายนั้นเปนผลสำเร็จอย่างงดงามที่สุด
เพราะเราสามารถทำสัญญากับต่างประเทศเหล่านั้นได้ใหม่หมด
ด้วยความปรองดองอย่างดีและโดยมิต้องมีสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การเจรจาแก้สัญญานั้นหาได้สำเร็จหมดทุกประเทศในรัชสมัยของพระองค์ไม่
แต่ก็ได้จัดทำไปเปนส่วนมากแล้ว
ถึงสัญญาที่ทำต่อมาภายหลังก็ดำเนินไปตามพระบรมราโชบายของพระองค์ท่านนั้นเอง
แต่หากเสด็จสวรรคตเสียก่อนมิได้ลงพระบรมนามาภิธัยทุกฉบับ
ผลสำเร็จที่สุดจึ่งมาตกในรัชสมัยของข้าพเจ้า
นี่เปนแต่เพียงบุญกุศลของข้าพเจ้าที่ได้สร้างสมมาแต่ปางก่อนเท่านั้น
แท้จริงข้าพเจ้ามีส่วนน้อยในการที่ประเทศสยามได้สู่อิศรภาพถึงเพียงนี้
แต่หากเปนเพราะบุญกุศลการจึ่งได้เปนผลสำเร็จในรัชสมัยของข้าพเจ้า |