ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล ณ อยุธยา
เกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๗
เป็นธิดาของเจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์)
และท่านผู้หญิงกลีบ ท่านบิดาตั้งชื่อให้ว่า ดุษฎีมาลา
เพื่อเป็นการระลึกถึงเมื่อครั้งที่ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา
เข็มศิลปวิทยา เพราะสอบได้เป็นเนติบัณฑิตชั้นที่ ๑
คนแรกของประเทศไทย ก่อนท่านผู้หญิงฯ ถือกำเนิด ๗ ปี
ท่านผู้หญิงฯ
เริ่มการศึกษาเบื้องต้นตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม ๔
ขวบที่โรงเรียนราชินีและเป็นลูกศิษย์ของ ครูจร (คุณหญิงขจรภะรตราชา)
ท่านศึกษาจนจบชั้นมัธยม ๘
วิชาที่ท่านเชี่ยวชาญเป็นพิเศษคือ ภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้นในวันเสาร์หลังกลับจากโรงเรียน
ท่านบิดาได้ให้ไปศึกษาขนบประเพณีกับ คุณป้าท้าว (คุณท้าวนารีวรคณารักษ์
: แจ่ม ไกรฤกษ์)
ซึ่งเป็นผู้ใหญ่อยู่ในวังเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ
กรมหลวงนครราชสีมา
ท่านผู้หญิงฯ มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกันทั้งสิ้น ๑๒
คน ในจำนวนพี่น้องที่เป็นชายนั้นมีคุณปาณี ไกรฤกษ์
เป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลือกเป็นมหาดเล็กรับใช้รุ่นแรก
ท่านสนิทชิดชอบกับ ม.ล.ปิ่น มาลากุล
บุตรเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (ม.ร.ว.เปีย
มาลากุล)
ซึ่งเป็นนักเรียนมหาดเล็กหลวงและมหาดเล็กรับใช้รุ่นเดียวกัน
คุณปาณีได้ชักนำให้ม.ล.ปิ่นรู้จักกับท่านผู้หญิงฯ
เป็นครั้งแรกที่โรงเรียนราชินี ขณะที่ท่านผู้หญิงฯ
เรียนอยู่ชั้นมัธยม ๓ และได้เข้าพิธีวิวาห์ในภายหลัง
(๗ มีนาคม ๒๔๗๔)
คุณปาณีได้เล่าเรื่องราวของนักเรียนมหาดเล็กหลวงให้ท่านผู้หญิงฯ
ฟังตั้งแต่เด็กจนท่านรู้สึกคุ้นเคยกับโรงเรียน
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๖
ท่านเริ่มชีวิตการทำงานโดยเป็นเลขานุการของท่านบิดา
มีหน้าที่แปลข่าวและบทความจากหนังสือพิมพ์บางกอกไทมส์
และสยามออบเซอร์เวอร์ เป็นภาษาไทยให้ท่านบิดาอ่าน
ในเวลานั้นได้ขออนุญาตท่านบิดาเรียนดนตรีไทย คือ
ซอด้วง และจะเข้ด้วย
ปี พ.ศ. ๒๔๖๘
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งท่านผู้หญิงฯ
เป็นนางพระกำนัลในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินี
ท่านผู้หญิงฯ
มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านงานประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
ผลงานซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายมีเป็นจำนวนมาก เช่น
คำไหว้ครูสำหรับนักเรียนที่ขึ้นต้นว่า ข้าขอประณตน้อมสักการ
บูรพคณาจารย์ ผู้กอปรเกิดประโยชน์ศึกษา
ซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ จนถึงปัจจุบัน
การที่ท่านได้รับการอบรมบ่มนิสัยในเรื่องกิริยามารยาทเป็นพิเศษมาแต่เยาว์
ท่านจึงได้สร้างผลงานประพันธ์ด้านการสอนมารยาทไว้หลายเล่ม
หนึ่งในนั้นคือ เรื่อง
มารยาทอันเป็นวัฒนธรรมทางประเพณีของไทย
มีนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยสวมชุดราชปะแตนแสดงอิริยาบถต่างๆ
ประกอบเรื่อง
ท่านได้ใช้ความสามารถและประสบการณ์ด้านงานประพันธ์
สร้างคุณประโยชน์แก่วชิราวุธวิทยาลัยอย่างใหญ่หลวง
กล่าวคือ พระยาภะรตราชา
ซึ่งเป็นผู้บังคับการในขณะนั้นได้ไปพบที่บ้านและขอให้ท่านช่วยแต่งเนื้อเพลงสำหรับให้นักเรียนวชิราวุธฯ
ใช้ร้องในโอกาสต่างๆ ได้แก่ เพลงมหาวชิราวุธราชสดุดี
เพลงตื่นขึ้นเถอะ เพลงจรรยานักกีฬา เพลงกีฬา
เพลงไชโยเถอะพี่น้องเรา เพลงเห็นแต่หน้า
เพลงอีกสี่สิบปี เพลงปฏิญญา เพลงสถานที่ศึกษา
เพลงโรงเรียนนี้ เพลงเริงใจเริง เพลงสี่สิบปี
เพลงที่ท่านภูมิใจที่สุด คือ มหาวชิราวุธราชสดุดี
ซึ่งเป็นเพลงประจำโรงเรียน
ใช้ร้องในงานพิธีและโอกาสสำคัญๆ
พระยาภะรตราชาได้ให้นักดนตรีใส่ทำนองสากลและให้นักเรียนร้องตอนเปิดพระวิสูตรเป็นครั้งแรกในงานวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ในปีนั้น
กรมพระชัยนาทนเรนทร
ประธานคณะผู้สำเร็จราชการเสด็จแทนพระองค์
เพลงนี้ใช้ร้องในงานพิธีบนหอประชุม
และกิจกรรมสำคัญอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นเพลงสำคัญที่สุดที่นักเรียนวชิราวุธฯ
ทุกคนต้องยืนถวายความเคารพทุกครั้งเมื่อได้ยิน
ถ้อยคำที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม
ซึ่งท่านได้ร้อยกรองมาจากน้ำใจจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
เป็นที่จับใจของนักเรียนวชิราวุธทุกรุ่น คือ
สำนักนี้จึงมีคติธรรม
กตัญญูประจำฝังจิตให้
รู้รักชาติศาสน์กษัตริย์เป็นฉัตรไชย
อีกรู้เสียสละได้ด้วยใจงาม
ท่านผู้หญิงฯ
เป็นผู้ใฝ่ใจปฏิบัติงานอันเป็นประโยชน์แก่สังคม
โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับเด็ก สตรี และวัฒนธรรมไทย
ท่านได้เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง เป็นที่ปรึกษา
เป็นประธาน และกรรมการในองค์กรต่างๆมากมาย
นอกเหนือจากภาระหน้าที่โดยตรงแล้วท่านยังได้ติดตามม.ล.ปิ่น
มาลากุลซึ่งเป็นรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงศึกษาธิการและประธานกรรมการอำนวยการโรงเรียนมาที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
เพื่อร่วมในพิธีการต่างๆ
เป็นประจำทุกปีต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ท่านผู้หญิงฯ เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร
เปี่ยมด้วยคุณธรรมและเมตตาธรรมเป็นอย่างยิ่ง
แม้จะผ่านวัยเกษียณไปแล้ว
ท่านก็ยังได้อุทิศตนปฏิบัติภารกิจอันเป็นคุณประโยชน์แก่สาธารณชนจวบจนบั้นปลายของชีวิต
ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล ณ อยุธยา ถึงแก่อนิจกรรม
เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๔๐ |