[
๑ ]
ต่อมาทรงได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น
พระนางเธอเสวาภาผ่องศรี พระวรราชเทวี,
พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี
และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
พระอัครราชเทวี ตามลำดับ
ต่อมาในคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งแรกในปี
พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้โปรดเกล้าฯ เฉลิมพระยศเป็น
สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
พระบรมราชินีนาถ
และได้ทรงมอบหมายให้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครตราบจนเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระมหานครในปลายปีเดียวกันนั้น
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จเสวยสิริราชสมบัติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓
แล้วได้ทรงรับสถาปนาพระอิสริยยศเป็น
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
พระบรมราชชนนี พันปีหลวง
[
๒ ]
การเปลี่ยนปีทั้งทางจันทรคติและสุริยคติของไทยในอดีตนั้น
คงใช้วันที่ ๑ เมษายน
ของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่
เพิ่งจะมาเปลี่ยนเป็นวันที่ ๑ มกราคม
ตามแบบสากลเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นปีแรก
[
๓ ]
ทรงเป็นต้นราชสกุล
จักรพงษ์
[
๔ ]
สิ้นพระชนม์ในวันประสูติ
[
๕ ]
ทรงเป็นต้นราชสกุล จุฑาธุช
[
๖ ]
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
[
๗ ]
ราชบัณฑิตยสภา. เรื่องเฉลิมพระยศเจ้านาย
ฉะบับมีพระรูป, หน้า ๒๐๖.
[
๘ ]
นับเป็นกรณีพิเศษ
เพราะในพระราชบัญญัติตำแหน่งศักดินาพระบรมวงษานุวงษ์กำหนดศักดินาสำหรับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าที่ทรงกรมไว้เพียง ๔๐,๐๐๐
[
๙ ]
ธรรมเนียมการเฉลิมพระยศเจ้านายของไทยแต่โบราณนั้น
มีที่มาจากการที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้รวบรวมคนเข้าสังกัดหมวดหมู่ตั้งขึ้นเป็นกรมใหญ่
๒ กรม ให้เจ้ากรมเป็นหลวง มีชื่อว่า
หลวงโยธาทิพ กรม ๑ หลวงโยธาเทพ กรม ๑
กรมหลวงโยธาทิพให้ขึ้นในสมเด็จสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ
เจ้าฟ้าศรีสุพรรณ
กรมหลวงโยธาเทพให้ขึ้นในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าสุดาวดี
คนทั้งหลายจึงเรียกพระนามสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นว่า
เจ้ากรมหลวงโยธาทิพ
เรียกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอว่า
เจ้ากรมหลวงโยธาเทพ หมายความว่า
ผู้เป็นเจ้าของกรมหลวงโยธาทิพและกรมโยธาเทพ
ไม่ใช่เป็นนามส่วนพระองค์
ด้วยเหตุนี้ชื่อเจ้ากรมจึงเหมือนกับพระนามเจ้าต่างกรมมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
นามกรมของเจ้านายแต่ละพระองค์นั้นล้วนเป็นนามที่ไพเราะและมักจะมีความหมายถึงพระปรีชาสามารถในเจ้าต่างกรมพระองค์นั้นๆ
แต่นามกรมที่เป็นชื่อหัวเมืองมณฑลต่างๆ
ในพระราชอาณาจักรเพิ่งจะเริ่มพระราชทานเป็นครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยพระราชโอรสพระราชธิดาชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าจะได้รับพระราชทานพระนามกรมเป็นอดีตราชธานีหรือเป็นชื่อเมืองลูกหลวงชั้นเอก
ส่วนปลัดกรมและสมุห์บัญชีซึ่งเป็นตำแหน่งรองจากเจ้ากรมลงไปก็จะมีชื่อเป็นหัวเมืองประเทศราชฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้
ส่วนพระราชโอรสพระราชธิดาชั้นพระองค์เจ้านั้น
ต่างก็ได้รับพระราชทานพระนามกรมเป็นนามมณฑลและจังหวัด
ส่วนปลัดกรมและสมุห์บัญชีก็จะได้รับพระราชทานนามเป็นชื่อเมืองในมณฑลที่เป็นพระนามกรม
หรือชื่ออำเภอในจังหวัดที่เป็นพระนามกรม
ลดหลั่นกันลงมาตามพระชันษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อแรกทรงกรมนั้น
ทรงได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเป็น
กรมขุนเทพทวาราวดี
เจ้ากรมจึงมีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนเทพทวาราวดี
ซึ่งนาม เทพทวาราวดี นี้มีความหมายถึง
กรุงเทพทวาราวดี ศรีอยุธยา หรือ
กรุงศรีอยุธยา
[
๑๐ ]
หมายถึง
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือ นครเชียงใหม่
[
๑๑ ]
หมายถึง
เมืองเคดาห์ หรือไทรบุรี
[
๑๒ ]
ท่านผู้นี้เป็นผู้แต่งแบบเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กไทยที่เรียกว่า
บันได เล่ม ๑ - ๔
ภายหลังเดินทางกลับไปรับราชการที่ประเทศอังกฤษแล้วได้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ
และได้รับสถาปนาเป็นอัศวินของประเทศอังกฤษ
มีนามว่า Sir Robert Morant
[
๑๓ ]
ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฏ์
[
๑๔ ]
ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น
นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
[
๑๕ ]
ข่าวสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
พระเจ้าลูกเธอ พระเจ้าน้องยาเธอ
เสด็จประเทศยุโรป, ราชกิจจานุเบกษา ๑๐
(๒๗
สิงหาคม ๑๑๒), หน้า ๒๕๗ - ๒๕๘.
[
๑๖ ]
พระไชยวัฒน์ทองคำองค์เล็กนี้
มีความปรากฏใน
ข่าวพระราชทานพระไชยวัฒน์ทองคำองค์เล็ก
ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันเสาร์
เดือนสิบ แรมแปดค่ำ ปีกุนนพศก จุลศักราช ๑๒๔๙
ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นเมื่อปีระกา จ.ศ. ๑๒๔๗ (พ.ศ.
๒๔๒๘) เนื่องในการที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระเจ้าลูกยาเธอ ๔ พระองค์ คือ
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์
พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าประวิตรวัฒโนดม
และพระเจ้าลูกยาเธอ
พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
เสด็จออกไปทรงศึกษาวิชา ณ
ประเทศยุโรปซึ่งเป็นหนทางไกล แต่จะโปรดเกล้าฯ
พระราชทานสิ่งสำคัญอันใดอันหนึ่งที่เนื่องในพระพุทธศาสนาให้ทรงไว้เป็นเครื่องระลึกบูชา
ในเวลาที่ต้องเสด็จไปจากประเทศสยามช้านาน
ครั้นจะโปรดเกล้าฯ
พระพุทธรูปหรือสิ่งที่มีอยู่แล้วในหอหลวง
ก็ล้วนแต่เป็นของโตใหญ่เป็นการลำบากที่นำไปนำมาทุกสิ่งทุกอย่าง
จึ่งทรงพระราชดำริให้หล่อพระพุทธรูปอย่างที่เรียกว่าพระไชยวัฒน์องค์หนึ่ง
ทองคำหนักเฟื้อง ๑ (กึ่งสลึง)
ตั้งการพระราชพิธีสวดมนต์ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ณ วันเสาร์ เดือนแปด ขึ้นเก้าค่ำ ปีระกาสัปตศก
(๒๐ มิถุนายน ๒๔๒๘) สวดครบ ๓ วันแล้ว ณ
วันอังคาร เดือนแปด ขึ้นสิบสองค่ำ
ปีระกาสัปตศก (๒๓ มิถุนายน ๒๔๒๘)
เป็นวันทรงเททองคำหล่อพระไชยวัฒน์องค์เล็ก
จำนวน ๕๐ องค์ และได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างตลับสำหรับทรงพระไชยนี้ด้วยทองคำลงยา
ตลับนั้นทำเป็นรูปและลวดลายคล้ายกับดวงตรารูปปทุมอุณาโลมประจำแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
แต่ตลับนี้ที่ตรงกลางเป็นแก้วเปล่าไม่มีอุณาโลมเหมือนปทุมอุณาโลม
และมีสร้อยสำหรับสวมคอด้วย
บรรดาผู้ที่ได้รับพระไชยวัฒน์ทองคำนี้ไปแล้ว
ถ้าไม่มีตัวลงแล้ว
ถ้ามีบุตรที่สมควรจะรักษาได้ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นที่ระลึกบูชาสืบไป
แต่ต้องนำกลับมาทูลเกล้าฯ ถวาย
ให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระบรมราโชวาททั้ง ๓
ข้ออีกครั้งหนึ่ง
ทั้งต้องรับพระราชทานต่อพระราชหัตถ์
พระบรมราโชวาท ๓ ข้อนั้นมีใจความสำคัญ ดังนี้
๑)
ผู้ที่จะได้รับพระราชทานต้องเป็นผู้มีความเชื่อถือเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาโดยมั่นคง
๒)
เป็นผู้มีความรักใคร่ต่อบ้านเมืองและวงศ์ตระกูลของตน
๓)
เป็นผู้มีความกตัญญูซึ่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
[
๑๗ ]
ข่าวสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกเธอ
พระเจ้าน้องยาเธอ เสด็จประเทศยุโรป,
ราชกิจจานุเบกษา ๑๐ (๒๗ สิงหาคม ๑๑๒),
หน้า ๒๕๗ - ๒๕๘.
[
๑๘ ]
ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น
พระยาวิสุทธสุริยศักดิ์
ตำแหน่งปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ
แล้วเลื่อนเป็นมหาอำมาตย์เอก
เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี
เสนาบดีกระทรวงธรรมการตามลำดับ
[
๑๙ ]
หม่อมราชวงศ์สิทธิ์
สุทัศน์
ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น
นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร
[
๒๐ ]
ท่านผู้นี้เป็นบุตรของอาร์ชบิชอพแห่งยอร์ค
(Archbishop of York)
ซึ่งมีอาวุโสเป็นลำดับที่สองของศาสนจักรอังกฤษ
(Church of England)
รองจากอาร์ชบิชอพแห่งแคนเตอร์เบอรี
(Archbishop of Canterbury)
ภายหลังได้รับสถาปนาเป็นอัศวินของประเทศอังกฤษ
มีนามว่า Sir Basil Thompson
[
๒๑ ]
หมายถึงรัฐบาลอังกฤษ คำว่าราชาธิปไตยนี้
เป็นคำที่รัฐบาลสยามใช้ในเอกสารต่างๆ
เมื่อกล่าวถึงประเทศอังกฤษหรือรัฐบาลอังกฤษในเวลานั้น