"๑๒ พฤศจิกายน
เป็นวันงานประจำปีของโรงเรียน
เริ่มมีตั้งแต่ปี ๒๔๗๐ ในหลวง และ
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี พระบรมราชินี
เสด็จฯ คู่กันทุกปีมิได้ขาด
พระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักเรียนที่สอบไล่ได้
ม.๘ ปีที่แล้ว มอดพระเนตรการแสดงต่างๆ
ของนักเรียน เช่น กรีฑา, รักบี้,
วิ่งวิบาก ตามแต่โรงเรียนจะจัดถวายเป็นปีๆ
ไป
แล้วพระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นเสร็จงาน
พอเสด็จฯ กลับ เพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้น
ยอดความสนุกของพวกเราในงานนี้ดูเหมือนจะอยู่ตอนนี้
คือเวลาเข้าแถวส่งเสด็จ เมื่อเสด็จฯ
ผ่านพวกเราซึงอมยิ้มพร้อมวันทยหัตถ์
สมเด็จฯ
ทรงยิ้มรับเพราะทรงทราบดีว่าประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น
พอเสด็จฯ ผ่านไปแล้ว พวกเราขยับกริ๊กๆ
คล้ายผึ้งที่กำลังจะออกบิน
พอรถพระที่นั่งเริ่มเคลื่อน
ผึ้งทั้งหลายก็แตกจากรัง
พรูเข้าไปเข็นรถทั้งด้านข้างและด้านหลัง
มีอยู่ปีหนึ่ง หน้าของเราเกือบติดกระจกรถ
ห่างจากพระองค์ท่านไม่กินศอก
พระพักตร์ทรงตามปกติ
ไม่ทรงยิ้มหรือทรงพระสรวลอย่างสมเด็จฯ
แต่แววพระเนตรนั้นบ่งชัดว่าทรงสนุกกับพวกเราอย่างเต็มที่
การอยู่ใกล้ที่ประทับนั้นต้องระมัดระวังมาก
แต่เราไม่ค่อยเครียดเพราะสมเด็จพรางเจ้ารำไพพรรณี
ท่านทรงยิ้มและทรงพระสรวลอยู่บ่อยๆ
ทำให้พวกเราไม่ว่าเล็กหรือโต
รู้สึกว่ามีความอบอุ่นและคุ้นเคยกับพระองค์ท่านอย่างประหลาด
ระหว่างเข็นรถซึ่งเข้าเกียร์หนึ่งอยู่ตลอดเวลา
พวกเราก็ไชโยไปตลอดทางจนถึงประตูคณะประทัตฯ
สุดเขตโรงเรียน
ทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์อำลา
พวกเราก็หยุดแค่ประตูโบกมือและไชโย
จนรถพระที่นั่งลับตาไป
อีกปีหนึ่ง วันงานโรงเรียนฝนตกหนัก
เมื่อจวนเวลาเสด็จฯ
โรงเรียนจัดที่แสดงไว้ที่สนามข้างหอประชุมอย่างเคย
บังเอิญเป็นการแสดงที่ไม่ใช้สนาม
มีการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า
มีเบาะยิวยิตสูจึงขนย้ายขึ้นมาได้
ระหว่างที่พวกเราช่วยกันของรวมทั้งเก้าอี้ที่ประทับ
เก้าอี้แขก
และเก้าอี้ผู้ปกครองขึ้นบนหอประชุม
นึกว่าจะไม่เสด็จฯ เสียแล้ว
ที่ไหนได้ระหว่างที่วิ่งขึ้นวิ่งลงนั้น
เสียงตำรวจเป่านกหวีดยาวรับกันเป็นทอดๆ
แสดงว่ารถพระที่นั่งกำลังจะถึงโรงเรียนอยู่แล้ว
ตกใจแทบสิ้นสติ
เราแบ่งงานกันเองโดยอัตโนมัติ
ส่วนหนึ่งวิ่งลงไปเข้าแถวคอยรับเสด็จที่สนามหน้าหอประชุม
ที่เหลือขนของแข่งกับเวลาอย่างอุตลุด
ปกติแถวรับเสด็จเป็นแถวเรียงสอง
วันนั้นเปลี่ยนกันเองเป็นแถวเรียงหนึ่ง
ถ่างให้แถวยาวๆ เข้าไว้
จนระยะเคียงนั้นม้าผ่านได้
เรียงแถวได้เร็วมากเป็นพิเศษราวกับเนรมิต
แต่ถึงกระนั้นพอเสร็จก็ได้วันทยหัตถ์พอดี
คงทรงเห็นขำ
เพราะว่ารถพระที่นั่งจะผ่านถนนหน้าคณะประทัตฯ
ถึงทางเลี้ยวเข้าไปหน้าหอประชุมนั้น
นานพอจะทรงเห็นความโกลาหลอลหม่านของพวกเราได้ถนัด
เห็นสีพระพักตร์แล้วพวกเราแม้จะเปียกมะลอกมะแลกทั้งเครื่องแบบและหอบจนซี่โครงบาน
รู้สึกชื่นใจจนหายเหนื่อย"
ส่วนการส่งเสด็จครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่
๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๖ นั้น
มีบันทึกในจดหมายเหตุ
เสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖
- ๒๔๗๗
ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า
"วันที่ ๑๒ มกราคม
พุทธศักราช ๒๔๗๖
เป็นวันกำหนดเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปและสหปาลีรัฐอเมริกา
เวลา ๑๑ นาฬิกา ๕๖ นาที
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงพระมุรธาภิเษก
สมเด็จพะนางเจ้าฯ
พระบรมราชินีสรงน้ำพระพุทธมนต์
เสร็จแล้วทรงเครื่อง
เสด็จออกท้องพระโรงพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พราหมณ์ถวายน้ำเทพมนต์
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายใน
มีสมเด็จพระศรีสวินทิรา บรมราชเทวี
พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้าเป็นประธาน
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท มีพราชปฎิสันถาร
และตรัสลาทั่วกันแล้ว ได้พระฤกษ์ยาตราเวลา
๑๒ นาฬิกา ๓๕ นาที
ทรงรถยนต์พระที่นั่งออกจากสวนจิตรลดา
พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท
ข้าราชบริพาร
นักเรียนโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย
และกองทหารรักษาวัง
ส่งเสด็จพระราชดำเนินหน้าพระตำหนัก"
[๑] |