ในตอนต้นปี พ.ศ. ๒๔๕๔ ได้มีเรื่องขึ้นเรื่อง ๑,
ซึ่งฉันเองก็ตัดสินใจไม่ใคร่จะถูกได้ว่าฉันได้ประพฤติผิดหรือถูก,
ฉะนั้นจะต้องเล่าไว้ในที่นี้ตามเหตุผลที่ได้เปนไป.
เรื่องนี้คือเรื่องกรมชุมพรออกจากประจำการในกองทัพเรือ,
ซึ่งเฃ้าใจว่าจะมีคนน้อยคนที่รู้ความในตลอด.
เพื่อให้เฃ้าใจเรื่องนี้โดยแจ่มแจ้ง
ฉันจำจะต้องกล่าวข้อความย้อนขึ้นไปในอดีตสักหน่อย.
ตามที่เธอได้รู้อยู่แล้ว,
แต่เดิมมากรมชุมพรกับฉันได้เคยเปนผู้รักใคร่ชอบพอกันอย่างสนิธ,
เพราะนอกจากที่เกิดปีเดียวกัน ยังได้ออกไปศึกษาพร้อมๆ กัน,
และเมื่อกลับเฃ้ามากรุงเทพฯ แล้ว
ฉันก็ยังได้ช่วยเหลือในกิจธุระส่วนตัวกรมชุมพรเปนหลายคราว.
ฉะนั้นต่อๆ
มาฉันจึ่งรู้สึกประหลาดใจและเสียใจเปนอันมากที่ได้สังเกตเห็นว่า,
จำเดิมแต่เวลาที่หญิงทิพสัมพันธ์
[๑]
ตายไปแล้ว, กรมชุมพรดูตีตนห่างจากฉันออกไปทุกที.
ในชั้นต้นฉันเฃ้าใจเอาเองว่า
คงจะเปนเพราะกรมชุมพรกับพระยาราชวังสัน (ฉ่าง แสง-ชูโต,จ่อมาเปนพระยามหาโยธา)
ได้เกิดผิดใจกันขึ้น,
และพระยาราชวังสันเปนผู้ไปมาหาสู่ฉันอยู่เสมอ,
กรมชุมพรจึ่งพลอยไม่ชอบฉันไปด้วย.
แต่ฉันรู้สึกว่าสาเหตุเพียงเท่านั้นยังไม่พอที่จะทำลายความไมตรีระหว่างกรมชุมพรกับฉัน,
ฉันจึ่งตั้งต้นแสวงหาสาเหตุต่อไป. ฉันรู้อยู่ดีว่า
กรมชุมพรนั้น, ถึงแม้ท่าทางและปากพูดเก่งก็จริง,
แต่ที่แท้มิใช่คนที่มีใจหนักแน่นปานใดนัก,
เปนคนที่ลังเลและเชื่อคนง่าย,
ฉะนั้นฉันจึ่งเริ่มต้นมองหาตัวผู้ที่เปน "ครู"
ของกรมชุมพร. ฉันได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่า
กรมชุมพรเคยฝากตัวเปนศิษย์กรมราชบุรี [๒],
และมีความนิยมตามกรมราชบุรีหลายประการ, มีสำแดงตนเปน ผู้ชอบเปนอิศระ
และถือพวกถือก๊กเปนที่ตั้ง. โดยนิสสัยของพระองค์เอง
กรมชุมพรชอบพูดอวดดีแสดงความกล้าหาญและมีวิทยาอาคมอย่างแบบเก่าๆ,
สักลายไปทั้งตัว, และ "ขลัง"
อะไรต่างๆ, มีพวกหนุ่มๆ นิยมอยู่บ้างแล้ว:
ครั้นได้ไปฟังคำสั่งสอนของกรมราชบุรีเฃ้าด้วยก็เลยบำเพ็ญเปนหัวโจกมากขึ้น.
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เปนสาเหตุที่จะทำให้พร่าไมตรีกับฉัน,
เพราะกรมราชบุรีเปนผู้ที่ชอบพอกับฉันโดยสม่ำเสมอตลอดมา,
คงไม่ยุให้กรมชุมพรแตกกับฉัน. ฉันได้สืบแสวงไปจนได้ความว่า
กรมชุมพรได้เกิดชอบพอกับกรมหลวงประจักษ์,
ก็เฃ้าใจได้ทันทีถึงเหตุที่กรมชุมพรเกิดไม่ชอบฉัน,
เพราะกรมหลวงประจักษ์เปนผู้ที่ไม่ชอบฉันอย่างยิ่ง,
และพยายามให้ร้ายแก่ฉันอยู่เสมอๆ.
ที่ฉันรู้ได้โดยแน่นอนว่ากรมชุมพรตกไปอยู่ในอำนาจของกรมหลวงประจักษ์นั้น
เพราะได้เกิดคดีขึ้นเรื่อง ๑
ซึ่งถาเปนแต่โดยลำพังตัวกรมชุมพรคงมิได้เปนการใหญ่โตเลย.
เหตุมีนิดเดียวที่พวกเด็กๆ
ของฉันได้พาไปเล่นกันอยู่ที่สนามหน้าวังสราญรมย์,
มีนักเรียนนายเรือ ๒ คนเดิรผ่านไปทางถนนสนามชัย, อยู่ดีๆ
ก็ตรงเฃ้าไปขู่พวกเด็กๆ ของฉันว่า ห้ามไม่ให้หัดทหาร,
จึ่งเกิดเปนปากเสียงกันขึ้น. ฉันจึ่งให้พระยาสุรินทราชา (นกยูง
วิเศษกุล), วึ่งเวลานั้นเปนหลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์
ตำแหน่งเลฃานุการส่วนตัวของฉัน,
มีจดหมายต่อว่าไปยังผู้บังคับการโรงเรียยนายเรือ,
และขอให้สั่งสอนว่ากล่าวพวกศิษย์ให้เฃ้าใจเสียว่า
การที่เด็กอื่นๆ ปรารถนาจะฝึกหัดให้อกผายไหล่ผึ่งบ้าง
ไม่ใช่กงการอะไรของนักเรียนนายเรือจะมาห้ามปราม.
ฉันเฃ้าใจว่าเมื่อให้มีจดหมายไปเช่นนั้นแล้วก็คงเปนอันจบเรื่องกัน.
ฉะนั้นฉันประหลาดใจมากเมื่อวัน ๑
ฉันได้ถูกพระเจ้าหลวงรับสั่งให้หาเฃ้าไปในที่รโหฐานและทรงต่อว่าเรื่องที่ให้เลฃานุการมีหนังสือไปขู่ผู้บังคับการโรงเรียนนายเรือ.
นัยว่ากรมชุมพรตกใจและเกรงกลัวภยันตราย
จึ่งได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล, เพื่อขอพระบารมีปกเกล้าฯ
เปนที่พึ่ง. ทูลกระหม่อม
[๓]
ทรงสั่งสอนว่า ฉันจะได้เปนใหญ่เปนโตต่อไป,
ต้องระวังอย่าทำให้ผู้น้อยนึกสดุ้งหวาดหวั่นต่ออำนาจอาชญาอันอาจต้องรับกรรมความดาลโทษะของฉัน.
ฉันก็รับพระบรมราโชวาทใส่เกล้าฯ โดยมิได้แก้ตัวว่ากระไร,
เพราะเห็นว่าพระเจ้าหลวงมีพระราชประสงค์จะให้เรื่องสงบไป.
ในวันเดียวกันนั้นเอง บริพีตร์ [๔],
ซึ่งเวลานั้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ,
ได้ตามออกมาจากวังสวนดุสิตไปหาฉันถึงที่วังสราญรมย์,
แสดงความเสียใจ
และขอโทษในการที่ฉันต้องถูกกริ้วโดยไม่มีมูลอันควรเลย,
และออกตัวว่า เธอเองมิได้รู้เห็นในคดีนั้นจนนิดเดียว,
เพราะกรมชุมพรมิได้นำเรื่องเสนอเธอก่อนที่จะนำความขึ้นกราบบังคมทูล.
ต่อเมื่อองค์อุรุพงศ์ [๕]
เล่าใฟ้ฟังว่าฉันถูกกริ้ว บริพัตร์จึ่งได้รู้เรื่อง,
และรับว่าจะต่อว่ากรมชุมพร
และจะขอให้สัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกเปนอันฃาด.
เมื่อฉันได้ทราบเรื่องตลอดแล้วก็รู้แน่ว่าแก่ใจว่า
กรมชุมพรคงได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมหลวงประจักษ์,
ผู้ชอบก่อเหตุน้อยเปนใหญ่เช่นนี้เสมอ.
นับจำเดิมแต่เมื่อได้ตกไปอยู่ในอำนาจกรมหลวงประจักษ์แล้วไม่ช้า
กรมชุมพรได้ทอดทิ้งการงานทางทหารเรือมากขึ้นเปนลำดับ,
จนนับว่าไม่มีเยื่อใยอะไรในกองทัพเรือ
นอกจากยังคงเปนหัวโจกของทหารหนุ่มๆ บางคนอยู่เท่านั้น.
ในยุคนั้นกรมชุมพรได้ริอ่านทำการค้าฃาย, คือตั้ง บริษัทชุมพร,
มีพวกนายทหารเรือหนุ่มๆ ถือหุ้นอยู่หลายคน;
บริษัทนั้นกระทำกิจไม่เปนผลสมปรารถนา,
เกิดมีหนี้สินรุงรังขึ้น,
จึ่งต้องขอพระราชทานกู้เงินพระคลังฃ้างที่ไปใช้,
และพระเจ้าหลวงทรงยึดที่ดินไว้เปนประกัน,
รับสั่งว่าถ้าประพฤติเรียบร้อยต่อไปจึ่งจะพระราชทานคืนให้.
โดยความแนะนำของกรมหลวงประจักษ์,
กรมชุมพรจึ่งได้ริอ่านหาความชอบในส่วนพระองค์พระเจ้าหลวงโดยอาการ...
ในชั้นต้น, เมื่อทรงเริ่มจัดสร้างที่สวนพญาไท,
กรมชุมพรรับอาสาปลูกผักที่นั้น, ทุกๆ
เดือนได้มีผักเฃ้าไปถวายคราวละหลายถาด,
ซึ่งกราบทูลว่าผักที่ปลูกที่พญาไท,
แต่ซึ่งที่แท้เที่ยวหาซื้อเอาดื้อๆ.
การหลอกพระเจ้าหลวงเช่นนี้อย่างไรๆ ก็คงเปนความคิดของ ครู,
เพราะตัว ครู ก็ประพฤติเปน ลิงหลอกเจ้า
อยู่เช่นนั้นเสมอ,
และสำคัญเสียว่าพระเจ้าหลวงท่านไม่ทรงรู้เท่า;
แต่ฉันเชื่อแน่ว่าพระเจ้าหลวงท่านทรงรู้เท่าดีทีเดียว,
ความชอบจึ่งไม่ได้แก่กรมชุมพรสมปรารถนา.
ต่อนั้นจึ่งกลายเปนช่าง, รับอาสาเขียนรูปภาพต่างๆ
ติดผนังห้องเฝ้าในพระที่นั่งอัมพร,
แต่ก็ไม่เห็นได้ทำอะไรเปนชิ้นเปนอันเหลือไว้เลย.
นอกจากเปนช่างเขียนเกิดเปนนักดนตรี,
มีน่าที่สำคัญคือกะวางลำสำหรับลคอนนฤมิตร์ของกรมนราธิป.
กิจการอันท้ายนี้เปนเหตุให้กรมหลวงประจักษ์กับกรมนราธิปเกิดบาดหมางกันจนเปนเหตุใหญ่โต,
ดังได้แสดงมาแล้ว ณ แห่งอื่น
การที่กรมชุมพรไม่ไปทำงานทางทหารเรือเลย
แต่ก็คงได้รับเงินเดือนอยู่เต็มที่นั้น,
นับว่าเปนตัวอย่างไม่ดีอย่างยิ่งสำหรับนายทหารผู้น้อยผู้ไร้สติ.
ประการ ๑
พวกศิษย์พากันเห็นไปเสียว่าครูของตนเปนคนสำคัญเหลือประมาณ,
อย่างไรรัฐบาลก็ต้องง้อไว้ใช้. อีกประการ ๑
ทำให้พวกหนุ่มตีราคาตนสูงเกินควรไป,
คือพากันเฃ้าใจเสียว่าถ้าเปนผู้มีวิชาแล้วจะทำงานหรือมิทำก็ต้องเลี้ยง.
ข้อที่ร้ายคือกรมชุมพรชอบพูดฟุ้งสร้านต่างๆ
ให้พวกศิษย์ฟังอยู่เนืองๆ, ชอบนินทาผู้ใหญ่ทั่วๆ
ไปให้ผู้น้อยฟัง,
จึ่งทำให้พวกหนุ่มพากันฟุ้งสร้านไปเปนอันมาก. |