พระยาโอวาทวรกิจ นามเดิม เหม ผลพันธิน
เป็นบุตรของหลวงธรรมานุวัติจำนง (จุ้ย ผลพันธิน)
และนางธรรมานุวัติจำนง (เพ้ง ผลพันธิน)
เกิดที่บ้านหลังวัดราชนัดดา จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ ๑๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๐
เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
ในพระบรมมหาราชวัง สอบไล่ได้ประโยคสอง
ซึ่งเป็นประโยคสูงสุดในสมัยนั้นเมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๓๔
แล้วได้เข้าศึกษาต่อที่เรียนในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์เป็นรุ่นแรกเมื่อวันที่
๑๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ มีนักเรียนร่วมชั้นเรียน ๓ คน
และในปลายปีเดียวกันนั้นมีนักเรียนสอนเข้าใหม่อีก ๓ คน
แต่คนเก่าก็ลาออกไปเสียก่อนที่จะเรียนจบหลักสูตร ๒
คน พระยาโอวาทฯ
เป็นนักเรียนที่เรียนสำเร็จจากโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์รุ่นแรก
สอบไล่ได้ประกาศนียบัตรประโยคครูประถมเมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๓๗
และได้เป็นครูสอนวิชาภาษาไทย ต่อจากนั้นได้อุปสมบท ณ
วัดเทพธิดาราม จังหวัดพระนคร เป็นเวลาหนึ่งพรรษา
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ปาน) เป็นอุปัชฌาย์
พระยาโอวาทวรกิจ
เริ่มรับราชการครั้งแรกเป็นครูฝึกหัดอยู่ในโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์แล้วได้เลื่อนหน้าที่ขึ้นเป็นลำดับ
จนได้เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสายสวลีสัณฐาคารเมื่ออายุเพียง
๒๐ ปี แล้วได้เป็นอาจารย์สอนพิเศษที่โรงเรียนแผนที่
กรมแผนที่ทหารบกที่สระปทุม
และโรงเรียนมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง
วิชาที่ท่านสอนได้อย่างช่ำชอง คือ ภาษาไทย
ต่อมาท่านได้เลื่อนขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมัธยมสูงเทพศิรินทร์
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕
ครั้นกระทรวงธรรมการตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูฝั่งตะวันตกขึ้นที่โรงเรียนราชวิทยาลัยเดิมที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาใน
พ.ศ. ๒๔๔๖
ท่านก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครูแห่งนั้น
และได้แสดงความสามารถในการปกครองโรงเรียน อีก ๓
ปีต่อมาจึงได้ย้ายไปเป็นผู้ตรวจการโรงเรียนแขวงมัธยมของกรมศึกษาธิการ
แล้วเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนราชแพทยาลัย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นแทนพระอารามหลวงประจำรัชกาลเมื่อวันที่
๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว ได้โปรดเกล้าฯ
ให้โอนย้ายพระยาโอวาทวรกิจซึ่งเวลานั้นยังมีบรรดาศักดิ์เป็นพระโอวาทวรกิจมาสังกัดกรมมหาดเล็ก
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เป็นคนแรก
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๔
ท่านได้ดำรงตำแหน่งนี้มาจนถึงวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๕๕
กระทรวงธรรมการได้ขอตัวกลับและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนพณิชยการ
(ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร)
ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๗
ท่านได้กลับเข้ารับราชการเป็นพนักงานสอบไล่ในกรมศึกษาธิการซึ่งเป็นกรมใหญ่คู่กับกรมธรรมการ
โดยกรมศึกษาธิการนั้นแบ่งออกเป็นกรมย่อย
ๆ มีหัวหน้ากรมเป็นชั้นเจ้ากรม คือ กรมสามัญศึกษา
กรมวิสามัญศึกษา และกรมราชบัณฑิต
ส่วนกรมธรรมการมีหน้าที่จัดการพระศาสนา พระยาโอวาทฯได้แสดงความสามารถในทางบริหารการศึกษา
ยังประโยชน์ให้แก่กรมศึกษาธิการเป็นอันมาก
จึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นข้าหลวงตรวจการศึกษาภาคหนึ่ง
ดูแลการศึกษาในห้ามณฑลคือ กรุงเก่า (อยุธยา) นครไชยศรี
ราชบุรี ปราจิณ และจันทบุรี ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๖๐
ท่านได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้ากรมวิสามัญศึกษา
มีหน้าที่จัดอาชีวศึกษาและโรงเรียนสตรี
เป็นกรมคู่กับกรมสามัญศึกษา ทั้ง ๒
กรมนี้เป็นหน่วยงานสังกัดกรมศึกษาธิการ
นอกจากนั้นท่านยังได้ทำหน้าที่ธรรมการมณฑลกรุงเทพฯ
มีสำนักงานอีกแห่งหนึ่งในกระทรวงนครบาลแต่ครั้งยังไม่ได้รวมเข้ากับกระทรวงมหาดไทย
ตำแหน่งสูงท้ายในราชการของท่านคือ ผู้ช่วยปลัดทูลฉลอง
กระทรวงศึกษาธิการ
แล้วได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการรับพระราชทานบำนาญเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๖๘ มีเรื่องเล่ากันว่า
เนื่องจากรัฐบาลฝืดเคืองในเรื่องการเงินจำเป็นต้องดุลยภาพข้าราชการ
สำหรับกระทรงศึกษาธิการจะต้องตัดงบประมาณเงินเดือนลงราวปีละหนึ่งแสนบาท
กระทรวงก็จำเป็นที่จะต้องคัดข้าราชการและครูออกเพื่อจะได้ลดงบประมาณเงินเดือนให้เป็นไปตามความต้องการของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ท่านจึงได้ลาออกรับพระราชทานเบี้ยบำนาญ
เพื่อช่วยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องออกจากราชการน้อยคน
แต่เสนาบดีและปลัดทูลฉลองกระทรวงศึกษาธิการในเวลานั้น
เห็นว่าท่านทำราชการได้ดีและปฏิบัติหน้าที่ถึง ๒
ตำแหน่งยังไม่สมควรที่จะออก
แต่ท่านก็ไปวิงวอนและชี้แจงเหตุผลให้ฟัง
จึงได้ออกสมประสงค์ เมื่อท่านลาออกนั้น
มียศเป็นมหาอำมาตย์ตรี
ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้า (พานทอง)
ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก และทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย
เป็นบำเหน็จราชการ
ชีวิตในกระทรวงศึกษาธิการของท่านจึงสิ้นสุดลงเพียงนี้
ศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์
ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับพระยาโอวาทวรกิจมาแต่เยาว์วัยได้กล่าวถึงท่านไว้ว่า
ท่านเป็นผู้ที่มีนิสัยร่าเริง มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
เคยเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม
แต่เมื่อร่างกายไม่อำนวยให้ท่านเล่นกีฬาหนัก
ๆ ได้ ท่านก็ยังชอบกีฬาอื่น
ๆ สารพัด ทั้งมีน้ำใจเป็นนักเลงพร้อมกันไปด้วย
ท่านเขียนเรื่องจรรยาของผู้เล่นและผู้ดูฟุตบอลลงในหนังสือวิทยาจารย์
มีข้อความที่น่าสังเกตคือ
"จรรยาของผู้ดู
จะเป็นพวกข้างใดฝ่ายหนึ่งก็ได้
หรือดูเป็นกลางๆ
ก็ได้แต่ไม่ควรจะมีกริยาวาจาส่อให้เห็นว่าตนทุจริตประการใดประการหนึ่ง
เช่น บอกว่าให้ผู้เล่นโดยผิดกติกา หรือ
เยาะเย้ยฝ่ายศัตรูในเวลาล้มหรือเตะผิดหรือแพ้
จะช่วยด้วยการบอกก็ดี หรือท่าทางก็ดี
ไม่เป็นการห้ามปราม เช่นบอกให้เตะโกล์
บอกให้หลบ บอกเตะแรง ให้หน้าให้ตาก็ได้
การผิดกติกาของการเล่น
บางคราวผู้ดูบางคนที่เป็นพวกฝ่ายพวกเล่นมักจะส่งเสริม
คนชนิดนี้ได้ชื่อว่าไม่ใช่นักเลง" |
น้ำใจนักกีฬาพาให้ท่านมีเพื่อนฝูงกว้างขวางในวงสังคมและได้รับเลือกเป็นกรรมการคนหนึ่งในสมาคมฟุตบอลแห่งกรุงสยาม
ในพระบรมราชูปถัมภ์มาแต่เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. ๒๔๕๙
นอกจากนั้นยังกล่าวกันว่า
ท่านมักจะหาเรื่องพูดตลกขบขันเล่าให้เพื่อนฝูงฟังอย่างสนุกสนาน
ท่านเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง
และรักษาตัวของท่านตามแบบไทย
ชอบไปเที่ยวตามต่างจังหวัดกับพระยาไพศาลศิลปสาตร (รื่น
ศยามานนท์)
อธิบดีกรมศึกษาธิการและปลัดกระทรวงธรรมการอยู่เป็นนิจ
นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้แสดงละครเก่งคนหนึ่ง
และก็ได้แต่งบทละครไว้หลายเรื่อง เช่น เรื่อง เสียรอย
เรื่อง ใครผิด เป็นต้น กล่าวโดยย่อก็คือ
ท่านเป็นครูรอบด้าน เป็นครูสอนหนังสือ เป็นครูแต่งแบบเรียน
เป็นครูที่มีความสามารถทางบริหารการศึกษา
ทั้งเป็นครูที่เชียวชาญในการแสดงละคร การโต้วาที
และยิ่งกว่านั้น ท่านยังเป็นคนใจใหญ่
เมื่อคราวชนะเลิศในการโต้วาทีที่กรมศิลปากร
ท่านก็ได้ยกเงินรางวัลทั้งหมดบำรุงกองทัพอากาศ
เพื่อเสริมสร้างการป้องกันบ้านเมืองของเรา
ครูที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาทั้งหมดเช่นนี้ย่อมหาได้ยาก
ท่านได้แต่งหนังสือ วิธีสอนเลขเบื้องต้น
และมีจิตใจรักอาชีพครู
ทั้งยังได้เขียนบทความเรื่องการเป็นครู โดยใช้นามปากกาว่า
"ครูทอง"
ลงในหนังสือวิทยาจารย์ดังนี้
"ไม่ต้องสงสัย
พวกครูที่ไม่ได้ประกาศนียบัตรครูมักเข้าใจตนเองว่า
ตนไม่มีความรู้ดีในการเป็นครู
และคงไม่ใคร่ได้รับตำแหน่งสูงความเข้าใจเช่นนี้
เป็นการดีอยู่
เพราะตนจะได้พยายามค้นคว้าหลักฐานในการเป็นครูมากขึ้น
และคนที่เป็นครูมีประกาศนียบัตรแล้วมักเข้าใจตนเองว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนตามใบประกาศนียบัตรที่ตนมีอยู่
และคงเดินเข้าสู่ตำแหน่งเป็นลำดับไป
ความเข้าใจเช่นนี้ เป็นการไม่ดี
เพราะจะพาให้จิตของตนฟุ้งซ่านไป
และภายหลังจะปรากฏขึ้นว่า
การสอนของตนเลวทรามลง
ความจริงครูจะดีหรือเลวอยู่ที่ตัวบุคคล
และอยู่ที่การงานที่สอนที่ปกครองโรงเรียน
ผลที่สุดคือ
ศิษย์ที่ออกไปแพร่หลายอยู่ในกิจการอันชอบด้วย
ขนบธรรมเนียมของบ้านเมือง
ส่วนสำนักที่ตั้งขึ้นเพื่อรับคนที่มีนิสัยเป็นครูที่เรียกว่า
โรงเรียนฝึกหัดครูนั้น
ในสถานที่นั้นก็สอนพวกนั้นให้มีความรู้ความต้องการที่จะให้ออกไปเป็นครู
มีกำหนดเวลาเล่าเรียนเป็นขีด
เมื่อถึงกำหนดแล้วก็สอบความรู้พวกที่เรียน
นักเรียนคนใดที่มีความรู้ตามที่หลักสูตรวางไว้
ก็ให้นับว่าผู้นั้นเป็นครูได้
ให้ประกาศนียบัตรถือว่าเป็นสำคัญ
ใบประกาศนียบัตรนั้นเป็นแต่แสดงความว่าเป็นผู้มีความรู้
เมื่อแรกออกไปรับราชการเป็นครู
ก็ได้รับพระราชทานเงินเดือนตามอัตราที่กำหนดไว้สำหรับชั้นประกาศนียบัตร
ส่วนการต่อไปภายหน้าอาศัยกิจการที่ตนได้กระทำไปแล้ว
ถ้ากิจการเหล่านั้นได้ดำเนินขึ้นไปเจริญดี
ตนย่อมได้รับความยกย่องเป็นพิเศษ
เหตุฉะนั้นจึงมีบางคนในพวกเดียวกันต่างกันไปในตำแหน่งต่างๆ
กันไม่ควรจะเข้าใจผิดในเรื่องเช่นนี้"
|
|