ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๖๔
สัญญาจ้างผู้ดูแลนักเรียนไทยในอังกฤษสิ้นสุดลง
ทรงพระราชดำริว่า
พระยาภะรตราชาเป็นผู้มีความรู้ความสามารถพอที่จะสนองพระเดชพระคูณในตำแหน่งดังกล่าวได้
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ย้ายพระยาภะรตราชาออกไปเป็นผู้ปกครองนักเรียนไทยที่กรุงลอนดอน
นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งนี้
และในระหว่างที่รับราชการอยู่ทีประเทศอังกฤษนี้ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นมหาอำมาตย์ตรี
(เทียบเท่านายพลตรี ทหารบก)
หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล
ซึ่งเคยเป็นศิษย์ของท่านที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง
และนักเรียนในความปกรองสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้ปกครองนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษ
จนได้กลับมารับราชการร่วมกันที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเป็นผู้บังคับบัญชาในฐานะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย
ได้กล่าวถึงพระยาภะรตราชาในสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองนักเรียนไทยในประเทศอังกฤษไว้ว่า
"พระยาภะรตราชาเป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยที่ประเทศอังกฤษอยู่
๕ ปี ท่านเอาใจใส่และกวดขันมาก
นักเรียนทั้งกลัวท่านและรักท่าน
บ้านของท่านอยู่ที่พัทนี่ (Putney)
ที่ชายกรุงลอนดอน ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้
ตามลำดับคือ ที่
๑. 58 Upper Richmond Road
๒. 19 Chartfield Avenue
๓. 7 Carlton Ioad
บ้านของท่านเปิดประตูรับนักเรียนไทยเสมอ
ใครไปเยี่ยมท่าน
ย่อมจะได้รับประทานอาหารกับท่าน
มักจะเป็นอาหารไทยที่มีรสชาติ
ผู้ใดจะไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ ท่านก็ยินดี
ท่านมีวิธีการช่วยนักเรียนที่
"กระเป๋าแห้ง"
เช่น
ส่งธนบัตรวานให้ขับรถไปเติมนำมันให้ท่าน
แล้วไม่รับเงินทอน
เรื่องนี้เกิดกับตัวผู้เขียนเองครั้งหนึ่ง
นักเรียนเคารพรักใคร่ท่านเพียงใด จะเห็นได้จากภาพล้อที่พิมพ์อยู่ในสามัคคีสาร
ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙
การไปรับราชการในต่างประเทศนั้น
ย่อมได้เงินเดือนสูง ถ้าเก็บหอมรอมริบไว้
ก็คงจะมีตัวเลขอยู่ในธนาคารสูงพอดู
แต่มีข่าวที่พอจะเชื่อได้ว่า
เมื่อท่านขนข้าวของลงเรือกลับประเทศไทย
ท่านเกือบจะไม่มีเงินเหลือกลับมาเลย" |
พระยาภะรตราชาคงรับราชการอยู่ที่ประเทศอังกฤษตราบจนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
จึงได้ย้ายกลับมารับราชการในตำแหน่งเลขานุการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยที่พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ
แล้วได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งคณบดีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙
ซึ่งเป็นช่วงเริ่มจัดสอนอักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์
และวิชาครูในมหาวิทยาลัย
แล้วจึงได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการ (อธิการบดี)
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดยคงรักษาการในตำแหน่งคณบดีคณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ต่อจากนั้นยังได้รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการแผนกวิชาข้าราชการพลเรือน
(คณบดีคณะรัฐศาสตร์) อีกตำแหน่งหนึ่ง
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว
พระยาภะรตราชาได้กราบถวายบังคมลาออกจากราชการรับพระราชทานเบี้ยบำนาญ
และต่อมาในการประชุมสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่
๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑
ได้พิจารณาถึงคุณูปการที่พระยาภะรตราชาในฐานะบุพการีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผู้ริเริ่มวางรากฐานการศึกษาวิทยาศาสตร์และวิชาครูรวมตลอดทั้งวิชาอื่นๆ
ในระยะเริ่มแรกไว้เป็นอันมาก
จึงได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ได้รับพระราชทานปริญญาวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นเกียรติยศ
พระยาภะรตราชากราบถวายบังคมลาออกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว
ได้ไปสอนพิเศษที่วชิราวุธวิทยาลัย
ครั้นมีการจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
ที่เกษตรกลางบางเขนขึ้นแล้ว
จึงได้ลาออกจากวชิราวุธวิทยาลัยไปสอนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อยู่สองปี
ถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๗
มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ก็ได้รับแต่ตั้งให้เป็นสมชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพฯ
และเป็นปลัดเทศบาลนครกรุงเทพฯ ในสมัยที่ เจ้าพระยารามราฆพ
(ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) เป็นนายกเทศมนตรี
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕
คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยเห็นสมควรที่จะปรับปรุงกิจการของวชิราวุธวิทยาลัยให้ได้สมรรถภาพและเหมาะสมแก่เหตุการณ์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่
๒
จึงได้เห็นชอบพร้อมกันเชิญพระยาภะรตราชาเข้ารับตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖
และในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยนี้
ยังได้รับแต่งตั้งเป็นเทศมนตรี (ปัจจุบันคือ
รองนายกเทศมนตรี) เทศบาลนครกรุงเทพฯ และเป็นสมาชิกวุฒิสภา
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๔๙๔
เมื่อแรกที่พระยาภะรตราชาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยนั้น
เป็นเวลาที่ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในกรุงเทพฯ
วชิราวุธวิทยาลัยก็ถูกบอมบ์ด้วยลูกระเบิด
จนตึกคณะดุสิตถูกระเบิดพังไปสองหลัง
ครุภัณฑ์และเครื่องใช้ไม้สอยของโรงเรียนถูกระเบิดทำลายไปไม่น้อย
ทั้งยังถูกหยิบยืม และสูญหายไปเกือบหมด
เพื่อให้การเรียนของนักเรียนเป็นไปโดยต่อเนื่อง
พระยาภะรตราชาจึงได้ขออนุญาตย้ายโรงเรียนไปเปิดสอนเป็นการชั่วคราวที่พระราชวังบางปะอิน
แต่เปิดสอนอยู่ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง
บางปะอินก็ถูกบอมบ์ทางอากาศอีกครั้ง
จึงต้องปิดโรงเรียนเป็นการชั่วคราว
ส่งนักเรียนแยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว
พระยาภะรตราชาก็นำคณะครูและพนักงานย้ายกลับมาดูแลรักษาทรัพย์สินของโรงเรียน
ซึ่งในเวลานั้นมีส่วนราชการต่างๆ
มาอาศัยทำการอยู่ในโรงเรียนเต็มทุกอาคาร
ครั้นสงครามโลกครั้งที่ ๒
กองทัพอังกฤษได้ขอยืมเครื่องนอนของโรงเรียนไปใช้อำนวยความสะดวกแก่เชลยศึกชาวอังกฤษ
จนถึงเวลาที่จะเปิดโรงเรียนในปี พ.ศ. ๒๔๘๙
รัฐบาลอังกฤษได้เสนอจะชดใช้เงินค่าเครื่องนอนให้แก่โรงเรียนเป็นจำนวนเงินที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับความเสียหายที่โรงเรียนได้รับ
พระยาภะรตราชาจึงได้มีหนังสือทวงถามไปยังสำนักงานกลางแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(G.H.Q. of SEAC) โดยอ้างถึง Spirit แห่ง Fair Play
ซึ่งชาวอังกฤษยึดถือกันนักหนา
ในที่สุดทางรัฐบาลอังกฤษได้จัดการชดใช้ความเสียหายให้ตามที่โรงเรียนเรียกร้อง
เมื่อโรงเรียนเปิดสอนอีกครั้งใน พ.ศ. ๒๔๘๙ นั้น
พระยาภะรตราชาก็ได้เริ่มดำเนินการอบรมสั่งสอนนักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยตามพระบรมราโชบายสำคัญ
๓
ประการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้
คือ
๑) สอนให้เป็นผู้มีศาสนา
๒) สอนให้เป็นผู้ดี และ
๓)
ให้เป็นผู้มีความรู้พอที่จะประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตัว
หลักทั้ง ๓ ประการนั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงถือว่าเป็นการให้การศึกษาที่สมบูรณ์ ทรงพระราชดำริว่า
การที่มีแต่วิชาอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ
เพราะเมื่อมีทางจะปฏิบัติทุจริตย่อมทำได้ง่าย
และยิ่งเป็นผู้เรียนเก่งแล้ว
เมื่อกระทำการทุจริตย่อมจับได้ยาก
เพราะมีความเก่งกาจทางวิชา
แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว
ย่อมรู้จักเกรงกลัวต่อบาป
และถ้าได้รับการอบรมให้เป็นผู้ดีแล้ว
การศึกษาที่ได้รับมาย่อมสร้างประโยชน์ให้ทั้งตนเอง
หมู่คณะและประเทศชาติ
ในการจัดอบรมนักเรียนให้ถึงพร้อมตามแนวพระบรมราโชบายดังกล่าว
ครูจิต พึ่งประดิษฐ์
อดีตรองผู้บังคับการและอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาวชิราวุธวิทยาลัยซึ่งได้ปฏิบัติงานร่วมกับพระยาภะรตราชาตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยได้กล่าวไว้ว่า
"การอบรมนักเรียนที่ลึกซึ้งของท่านผู้บังคับการอีกประการหนึ่งที่คนอื่นมักจะมองไม่เห็น
แต่มีความสำคัญเป็นอันมาก คือการรู้จักประสานงานกัน
อันกิจการที่ใหญ่ๆ
และสำคัญนั้นจะสำเร็จได้ก็ด้วยการรู้จักประสานงานกัน,
รู้จักการร่วมมือร่วมใจร่วมแรงกัน,
ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน การอบรมให้มีจิตใจอย่างนี้นั้น
ท่านใช้วิธีนำเอากีฬาที่เล่นกันเป็นทีมฝ่ายละหลายๆ
คนเล่นกัน เช่น รักบี้ฟุตบอล, แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล,
บาสเกตบอล, วอลเลย์บอล, ดนตรีที่มีคนเล่นพร้อมกันหลายๆ
คนประกอบเป็นวงใหญ่ๆ ยิ่งมากคนยิ่งดี
วงดนตรีบางวงของวชิราวุธวิทยาลัยมีคนตั้งร้อยกว่า
เช่นวงเมโลดิกา วงโยธวาทิต วงปี่สก๊อต
เล่นวงเดียวไม่มากพอเอาสองวงมาบรรเลงพร้อมๆ กันก็ยังได้
การฝีมือต้องใช้คนหลายๆ
คนทำหรือที่ต้องแบ่งงานกันทำคนละชิ้นคนละอันแล้วนำมาประกอบกันเข้าเป็นส่งเดียวกันในภายหลัง
ท่านว่าสิ่งเหล่านี้สอนให้รู้จักการประสานงานกัน
จะเอาดีเอาเด่นคนเดียวไม่ได้
ในการเล่นกีฬาที่เล่นเป็นทีมเช่นรักบี้ฟุตบอล
ซึ่งท่านว่าเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยทีมเวิคมากที่สุด
ท่านจะต้องคุมการเล่นด้วยตนเองเป็นประจำ
ถ้าคนไหนเล่นลูกคนเดียว หวงลูกฟุตบอลไม่ส่งให้คนอื่น
ท่านจะตะโกนเตือนให้ส่ง
และท่านจะตักเตือนไม่ให้ประพฤติเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด
ท่านไม่ถือว่าคนที่เอาลูกไปวางทรัยคนเดียว
หรือเลี้ยงลูกคนเดียวยิงประตูว่าเป็นคนเก่ง
คนเก่งนั้นคือคนที่รู้จักหน้าที่ของตนและไม่หวงลูก
ฉะนั้นคนเก่งไม่จำเป็นต้องเป็นคนวางทรัยหรือคนเตะเข้าประตู
ในการที่วชิราวุธวิทยาลัยมีกีฬาประเภทต่างๆ, วงดนตรีวงต่าง,
การฝีมือศิลปหัตถกรรมนานาชนิดไม่ใช่ทีไว้เพื่อความสนุกสนานสำราญหรรษาเพียงอย่างเดียว
จุดประสงค์สำคัญนั้นก็ด้วยมุ่งหมายจะอบรมบ่มนิสัยให้นิสัยให้นักเรียนควรรวมกำลังกัน,
รู้จักการประสานงานกัน, ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ
เอาดีเอาเด่นแต่คนเดียว
สิ่งเหล่านี้จะสอนกันแต่ตัวหนังสือตามตำราในห้องเรียนย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล" |
ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๓ ปี (หย่อนเพียง ๓ วัน)
ที่พระยาภะรตราชาได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยมานั้น
ท่านได้รับพระราชทานพระมหากรุณาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวละพระบรมวงศ์มาโดยตลอด
ท่านเล่าว่า
เคยกราบถวายบังคมทูลพระกรุณาขอลาออกจากตำแหน่งเพราะเหตุสูงอายุ
แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า
"หาคนมาแทนยาก"
จึงไม่โปรดเกล้าฯ
ให้ออกจากตำแหน่ง
และแม้ว่าท่านจะได้เสนอให้คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้บังคับหารวชิราวุธวิทยาลัยไว้ในข้อบังคับกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๑๑
โดยให้ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ
๕ปี แต่เมื่อครบวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว
คณะกรรมการอำนวยการวชิราวุธวิทยาลัยก็ยังคงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุมัติให้ท่านคงอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย
พระยาภะรตราชาจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อมา
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินวชิราวุธวิทยาลัยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๗ ก่อนที่จะประทับรถยนต์พระที่นั่ง
ยังได้เสด็จพระราชดำเนินย้อนกลับมาพระราชทานกระแสพระราชดำรัสเป็นการส่วนพระองค์แก่พระยาภะรตราชาที่รอส่งเสด็จว่า
ปีนี้ดูเจ้าคุณแข็งแรงดี
อยู่ช่วยกันไปก่อนนะ พระยาภะรตราชาจึงได้รับพระราชกระแสใส่เกล้าฯ
และคงสนองพระเดชพระคุณในหน้าที่ผู้บังคับกาวชิราวุธวิทยาลัยต่อมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน
ในระหว่างที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่นั้น
พระยาภะรตราชาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญ
และเสมาเป็นบำเหน็จความชอบในราชการ คือ
มหาวชิรมงกุฎ
ประถมาภรณ์มงกุฎไทย
ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ
วชิรมาลา
รัตนาภรณ์ ว .ป.ร. ชั้นที่ ๕
รัตนาภรณ์ ภ.ป.ร. ชั้นที่ ๓
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา
เสมา ว.ป.ร.ชั้นที่ ๓
แหนบสายนาฬิกา ว.ป.ร. ชั้นที่ ๑
ดุมทองคำลงยา ว.ป.ร. ชั้นที่ ๑
เข็มอักษรพระบรมนามาภิไธยย่อ ว.ป.ร. ชั้นที่ ๒
พระยาภะรตราชากราบถวายบังคมลาถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๒๘
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่เรือนพักในวชิราวุธวิทยาลัย สิริอายุ
๘๙ ปี ๙ วัน แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานเกียรติยศพิเศษเสมอด้วยองคมนตรี โปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งศพที่ศาลาบัณรศภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
พระราชทานพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมของหลวงมีกำหนด ๗ คืน
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
พระราชทานพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมมีกำหนด ๗ คืน
และสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา
สิริโสภาพัณณวดี พระราชทานพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมอีก ๑
คืน แล้วทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๕๐ และ ๑๐๐
วันพระราชทานตามลำดับ ถึงกำหนดพระราชทานเพลิงศพ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ
ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์เป็นกรณีพิเศษ
พระยาภะรตราชา ได้สมรสกับท่านผู้หญิงขจร ภะรตราชา
ท.จ.ว. (ขจร ทับเป็นไทย) คุณข้าหลวงในสมเด็จ
พระศรีพัชินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง
เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยจอมพล
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
ทรงพระกรุณาสวมมงคลและพระราชทานน้ำสังข์
แล้วคู่สมรสได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในวโรกาสนี้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานเงินทุนแก่คู่สมรสเป็นจำนวน
๑๐๐ ชั่ง (๘,๐๐๐ บาท) พระยาภะรตราชาและท่านผู้หญิงขจร
ภะรตราชา มีบุตรธิดารวม ๕ คน คือ
๑) ศาสตราจารย์ ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา
๒) เด็กชายอี๊ อิศรเสนา ณ อยุธยา (ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ
๙ เดือน)
๓) นายอายุส อิศรเสนา ณ อยุธยา
๔) นางสุคนธา โบเออร์
๕) ท่านผู้หญิง ดร.ทัศนีย์ บุณยคุปต์
|