สู้วัวกระทิง
เริ่มต้นด้วยวงดนตรีบรรเลงนำแถวนักสู้วัวผู้กล้าหาญซึ่งมีทั้งเดินอยู่และนั่งอยู่บนหลังม้า
แต่ละคนแต่งกายอย่างกะทัดรัดและสวยงามด้วยสีฉูฉาด
เมื่อนักสู้วัวถวายคำนับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว
กระทิงหนุ่มสองตัวก็ถูกปล่อยโลกแล่นออกสู่สนามทันที
ชะรอยว่ามันจะได้รับการศึกษามาดีจากในป่า
จึงแทนที่มันจะพุ่งเข้าหาคนที่อยู่ในสนามก่อน
มันกลับค่อยๆ วิ่งมาหน้าที่ประทับ
แล้วก้มหัวลงแสดงอาการคำนับอย่างนุ่มนวล
ต่อจากนั้นมันก็แสดงกิริยาดุร้ายออกมาทันที
ทั้งสองตัวโผนเข้าใส่กลุ่มนักสู้วัวด้วยความรวดเร็วปานลูกธนูออกจากแหล่ง
พวกพระเอกเหล่านั้นก็พริ้วตัวหลบอย่างว่องไว
แล้วก็ใช้ผ้าแดงโบกสะบัดหลอกล่อวัว
พอได้ทีก็ใช้หอกแทงวัว
ครั้นบ่อยเข้าวัวคงจะทนไม่ไหว
เลยกระซิบบอกนักแทงวัวให้แทงเบาๆ หน่อย
แต่เจ้าหนุ่มคนหนึ่งกำลังมันมือพุ่งหอกไปที่วัวตัวหนึ่งดังบึ้กใหญ่
ปรากฏว่าวัวตัวนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ด้วยเสียงแปลกกว่าวัวทั้งหลาย คือดัง
โอ๊ย!
ตอสุดท้ายมีหอกติดอยู่ที่วัวเต็มไปหมด
วัวก็คงจะเหนื่อยเต็มทีแล้ว เห็นหอบ แฮ่กๆ
เซไปเซมา ในที่สุดก็สะดุดขาตัวเองล้มลง
ชักดิ้นชักงอนิดหน่อยแล้วก็หยุด
แสดงว่าตายแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็มาแบกศพวัวไปพร้อมกับกุ่มนักสู้วัวเดินแถวตามวงดนตรีไปอย่างสง่าผ่าเผย
วิ่งวิบาก
มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ๘ คน
โดยทั้งสี่คณะส่งนักกีฬาเข้ามาคณะละ ๒ คน
เริ่มแรกโดยปิดตาผู้แข่งขันทั้งหมด
แล้วจับตัวหมุน
แจกไม้ให้คนละอันแล้วให้เนไปตีหม้อดินซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ
ให้แตก
บางคนฟาดดินอยู่เป็นนานไม่ยักถูกสักที
คนที่ตีแตกแล้วก็เปิดตารีบวิ่งไปลอดตาข่ายซึ่งขึงติดกับพื้นดินเลย
ดิ้นขลุกขลักกันอยู่เป็นนานจึงออกไปอีกข้างหนึ่งได้
ต่อจากนี้ก็วิ่งไปที่ๆ
หนึ่งมีลูกลอลล์วางอยู่
ต้องปาลูกบอลล์ให้เข้าช่องซึ่งอยู่ม่ไกลนัก
แล้วจึงผ่านไปสู่อีกด้านหนึ่ง
วิ่งกระโดดเชือกถอยหลังไปเป็นระยะ ๕๐ เมตร
ต่อไปต้องวิ่งเก็บมะนาวมาใส่จานทีละผลจนครบห้าผล
แล้วจึงวิ่งไปที่บาร์คู่ใช้ข้อกันนิดหน่อยแล้วหกต่ำต่อ
จากนี้ก็รีบมุ่งไปด่านสุดท้ายที่หน้าที่ประทับคือ
คุกเข่าใช้มือเลี้ยงไม้ซึ่งเป็นป้ายประจำคณะ
คณะพญาไทถึงหลักชัยก่อน
ตามติดด้วยคณะผู้บังคับการ
จากกรีฑาประเภทขบขัน
ได้พัฒนามาเป็นการแสดงหน้าพระที่นั่ง
เริ่มจากการประกวดเครื่องแต่งกาย
ซึ่งเนรมิตนักเรียนให้เป็น
ชายจริงหญิงเทียม
จนถึงกับมีการบันทึกไว้ในวชิรา
วุธานุสาส์นว่า
ถึงจะเทียมก็เทียมแต่ภายใน
ส่วนภายนอกเล่าหญิงใดๆ
ในหล้าเราขอท้าสู้ในด้านความงามที่อาจบดบังความงามของหญิงแสนจะสดสวยให้ละลายหายสิ้นไปได้
ฉะนั้นทั้งนี้สำเร็จมาด้วยความพากเพียรในเชิงการแต่งหน้าและเครื่องแต่งกายของ
อาจารย์ ม.๗.ไกรสิงห์ วุฒิชัย
ร่วมมือกับอาจารย์วัฒนาศิริ
สวัสดิรณภักดิ์ เป็นอาทิ
การประกวดในวันนี้
เป็นการแต่งตัวได้งดงามมากถึงกับได้รับคำขอร้องให้เดินแสดงตัวแก่ผู้ที่มาชมหลายเที่ยว
จนกระทั่งช่างภาพ นสพ.
ขอบันทึกภาพแห่งความงดงามอันจะนำความเจริญตาเจริญใจมาสู่ผู้พบเห็นไว้ในความทรงจำชั่วนิจนิรันดร์
ในการประกวดนี้แบ่งออกเป็นคู่ๆ คือ ชาย ๑
หญิง ๑
มาในแบบของเครื่องแต่งกายที่ต่างยุคต่างแบบกัน
มีทั้งแบบในประเทศไทย ชาวยุโรปสมัยก่อนๆ
และในที่สุดก็เป็นชาวอินเดียนแดงที่น่าชมรั้งขบวนอยู่สุดท้าย
กรแสดงผ่านไปท่ามกลางเสียงซุบซิบวิจารณ์ของผู้มีเกียรติที่มาชมด้วยความตื่นตาและสุขใจอย่างล้นเหลือ
อย่างที่ไม่นึกฝันว่าจะงดงามถึงเพียงนี้ |