โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |

ก่อนหน้า  |  ๒๑  |  ๒๒  |  ๒๓  |  ๒๔  |  ๒๕  |  ๒๖  |  ๒๗  |  ๒๘  |  ๒๙  |  ๓๐  |  ถัดไป  |

 

๒๙. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

กับ

วชิราวุธวิทยาลัย (ตอนที่ )

 

 

ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย

 

          เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง พร้อมกับพระราชทานนามโรงเรียนมหาดเล็กหลวงใหม่ว่า โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ) ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงคงเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อมา

 

          ในการบริหารจัดการวชิราวุธวิทยาลัยนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีกรรมการจัดการทำหน้าที่บริหารโรงเรียนต่างพระเนตรพระกรรณมาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙ และสภากรรมการก็ได้มีการประชุมวางระเบียบการของโรงเรียนมาเป็นลำดับ ทั้งนี้เมื่อสภากรรมการประชุมตกลงกันแล้ว มีพระราชกระแสดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งไว้ว่า ให้สภานายกทำรายงานการประชุมส่งขึ้นไปทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท หากมีพระราชดำริประการใดจะพระราชทานพระราชกระแสลงมาให้กรรมการทราบและดำเนินการให้ต้องด้วยกระแสพระราชดำริต่อไป

 

          ทว่าเมื่อสภากรรมการดำเนินการประชุมเพื่อวางระเบียบการของโรงเรียนมาได้เพียง ๓ ครั้ง ก็เกิดความขัดแย้งในเรื่องกำหนดอายุของนักเรียนที่จะรับเข้าเรียน จนลุกลามกลายเป็นเหตุขัดแย้งระหว่างพระยาไพศาลศิลปสาตร์ (รื่น ศยามานนท์) ปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการ และกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย กับพระยาบรมบาทบำรุง (พิณ ศรีวรรธนะ) ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย และผู้บังคับการได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง

 

          เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นัดประชุมสภากรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย ครั้งที่ ๔ ณ หอประชุมวชิราวุธวิทยาลัย ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ และได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับเป็นประธานในการประชุมครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกวชิราวุธวิทยาลัยได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานพระบรมราโชบายในการบริหารโรงเรียน

 

          แต่ความขัดแย้งระหว่างพระยาไพศาลศิลปะสาตร์กับพระยาบรมบาทบำรุงยังคงดำเนินต่อมา จนถึงขั้นที่พระยาไพศาลศิลปสาตร์ประกาศในที่ประชุมสภากรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยว่า หากให้พระยาบรมบาทบำรุงคงเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยต่อไปแล้ว ตนก็จะขอลาออกจากกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระยาบรมบาทบำรุงออกจากตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยไปเป็นผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาปรีชานุสาสน์ย้ายจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙

 

          ต่อมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนแปลงกรรมการจัดการวชิราวุธวิทยาลัยเสียใหม่ ประกอบกับพระยาปรีชานุสาสน์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ทำการแทนปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระยาบรมบาทบำรุงกลับมาเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยอีกครั้ง ซึ่งในการกลับมาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยในครั้งหลังนี้ พระยาบรมบาทบำรุงได้มีโอกาสจัดโรงเรียนชั้นเด็กเล็กซึ่งได้มีการเตรียมการมาตั้งแต่ครั้งพระยาปรีชานุสาสน์ยังเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่งในที่ดินพระราชทานฝั่งทิศเหนือของถนนสุโขทัย และได้เริ่มเปิดรับนักเรียนชั้นชั้นประถมเข้าเรียนในโรงเรียนเด็กเล็กซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “คณะเด็กเล็ก” มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖

 

 

*********************************

 

 

ตึกพยาบาล

 

          สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักพญาไทเป็นที่ประทับทรงสำราญพระราชอิริยาบถที่ทุ่งนาพญาไท และเมื่อเสร็จการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ได้เสด็จมาประทับที่พระตำหนักพญาไทนี้ตลอดมาตราบจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๒

 

 

พระตำหนักสมเด็จฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อย้ายจกวังพญาไท มาปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง

 

 

          เมื่อสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง เสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะสร้างพระราชวังขึ้นใหม่ในบริเวณวังพญาไท จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้รื้อย้ายพระตำหนักพญาไทไปปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง พระราชทานชื่อว่า “พระตำหนักสมเด็จฯ” และได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดหอเรียนวิทยาศาสตร์นี้เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓

 

          โรงเรียนจะได้ใช้พระตำหนักพญาไทเป็นหอเรียนวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลานานเพียงไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด คงพบหลักฐานแต่เพียงว่าในสมัยที่พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) เป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยนั้น โรงเรียนได้จัดพระตำหนักสมเด็จฯ นี้เป็นตึกพยาบาลนักเรียนเจ็บป่วย โดยเว้นห้องพระบรรทมที่สมเด็จพระพันปีหลวงเสด็จสวรรคตนั้นไว้เป็นห้องสักการะ และคงประดิษฐานพระบรมฉาลาลักษณ์สมเด็จพระพันปีหลวงขนาดเท่าพระองค์ไว้ที่ผนังตรงกับบันไดทางขึ้นพระตำหนัก ซึ่งนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัยกรุ่ม สุรนันทน์ เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เวลาไปนอนป่วยที่ตึกพยาบาลที่นักเรียนมักจะเรียกกันว่า “โรงหมอ” นั้น พอเดินขึ้นไปและจะต้องผ่านพระบรมฉายาลักษณ์องค์นั้นครั้งไร นักเรียนทุกคนจำต้องย่อตัวเป็นการถวายเคารพและพอก้าวพ้นไปจากบันไดนั้นแล้วต่างก็มักจะรีบเดินให้พ้นไปจากพระบรมฉายาลักษณ์องค์นั้นด้วยเกรงในพระบารมี

 

          ต่อมาพระยาปรีชานุสาสน์ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เนื่องจากโรงเรือซึ่งโรงเรียนจัดให้เป็นเรือนพักของผู้บังคับการที่ด้านทิศเหนือของเนินหอนานั้น มีขนาดเล็กและคับแคบไม่พอรองรับครอบครัวใหญ่ซึ่งมีบุตรธิดากว่าสิบคน จึงใคร่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายจากโรงเรือขึ้นไปอาศัยที่พระตำหนักสมเด็จฯ ซึ่งเวลานั้นโรงเรียนใช้เป็นตึกพยาบาลแทน

 

          เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อย้ายพระตำหนักสมเด็จฯ ซึ่งเมื่อครั้งที่เสด็จกลับจากทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษได้เคยเสด็จมาประทับอยู่ด้วยสมเด็จพระพันปีหลวง ก่อนที่จะทรงแยกออกไปประทับที่วังศุโขทัย มาปลูกสร้างเป็นหอเรียนวิทยายาศาตร์ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงนั้นก็ได้เป็นที่ต้องด้วยพระราชอัธยาศัยอยู่แล้ว ยิ่งมาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทว่า โรงเรียนได้จัดให้เป็นตึกพยาบาลนักเรียนเจ็บป่วย และให้นักเรียนขึ้นไปนอนพักรักษาตัวบนพระตำหนักฯ เช่นนั้น ยอ่งไม่เป็นการต้องด้วยพระราชนิยม ซ้ำร้ายพระยาปรีชานุสาสน์ยังจะมาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตขึ้นไปพักอาศัยในพระตำหนักสมเด็จฯ เช่นนี้ ยิ่งไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยนัก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อย้ายพระตำหนักสมเด็จฯ ไปปลูกสร้างถวายเป็นเสนาสนะของพระสงฆ์วัดราชาธิวาส

 

          ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อย้ายพระตำหนักสมเด็จฯ ไปถวายวัดราชาธิวาสแล้ว โรงเรียนจึงไม่มีตึกพยาบาลไว้พยาบาลนักเรียนเจ็บป่วย นายกกรรมการโรงเรียนจึงได้ถวายฎีกาว่า ตามประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อๆ กันมาแต่โบราณนั้น เมื่อผู้ใดรื้อถอนหรือเอาทรัพย์ของสงฆ์ไปเพื่อการใดๆ ก็ตาม ย่อมต้องทำผาติกรรมชดเชยให้สงฆ์ในราคาที่ไม่น้อยกว่าทรัพย์ของสงฆ์ที่ต้องสูญสลายไป และโดยที่วชิราวุธวิทยาลัยนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาสถาปนาขึ้นเป็นประดุจพระอารามหลวงประจำรัชกาล ฉะนั้นการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อถอนพระตำหนักสมเด็จฯ ไปถวายเป็นเสนาสนะของสงฆ์วัดราชาธิวาส ก็ย่อมจะต้องทรงทำผาติกรรมชดเชยให้วชิราวุธวิทยาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๒๒,๙๐๐ บาท ให้พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช ล. สุขยางค์) และหลวงวิศาลิลปกรรม (เชื้อ ปัทมจินดา) ออกแบบจัดสร้างตึกพยาบาลพระราชทานในพื้นที่ว่างระหว่างคณะปรีชานุสาสน์ (คณะผู้บังคับการ กับคณะประตองวิชาสมาน (คณะดุสิต) แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร [] เสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดตึกพยาบาลนี้พร้อมกับตึกวชิรมงกุฎ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๕

 

 

*********************************

 

 


 

[ ]  ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

 

 

 

 

ก่อนหน้า  |  ๒๑  |  ๒๒  |  ๒๓  |  ๒๔  |  ๒๕  |  ๒๖  |  ๒๗  |  ๒๘  |  ๒๙  |  ๓๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |