โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ ๑ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๑ - | ๑ - ๑๐ | ๐๑ - ๑๒ | ๒๑ - ๑๔ |

| ๑๔๑ - ๑๕๙ |

  |    |    |    |    |    |    |    |    |  ๑๐  |  ถัดไป  |

 

๕. กองลูกเสือหลวง (รักษาพระองค์)

 

          ในระยะแรกตั้งกรมนักเรียนเสือป่าหลวงนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองร้อยที่ ๑ (มหาดเล็กหลวง) และกองร้อยที่ ๒ (ราชวิทยาลัย) เป็นเหล่าราบ ส่วนกองร้อยที่ ๓ (พรานหลวง) นั้นเป็นเหล่าพราน ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๙ แล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนเสือป่ามหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ ซึ่งตั้งกองอยู่ที่ตำบลห้วยแก้ว เชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกองร้อยที่ ๔ ครั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกนักเรียนเสือป่ากองร้อยที่ ๑ (มหาดเล็กหลวง) ออกไปจัดเป็นกองร้อยที่ ๕ อีกกองหนึ่งแล้ว ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนเสือป่ากองร้อยที่ ๑, ๒, ๔ และ ๕ เปลี่ยนจากเหล่าราบมาเป็นเหล่าพราน และโปรดเกล้าฯ ให้กรมนักเรียนเสือป่าหลวงย้ายไปขึ้นสังกัดกองเสนาน้อยราบเบา จัดเป็นกองกำลังเคลื่อนที่เร็วร่วมกับกรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์

 

 

กองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๒ (ราชวิทยาลัย)
โรงเรียนราชวิทยาลัย ตำบลบางขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

 

 

          อนึ่ง เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๑ (ลูกเสือหลวง) และกองกรุงเทพฯ ที่ ๒ (ราชวิทยาลัย) ขึ้นเป็นนักเรียนเสือป่าหลวง เป็นอันขาดสถานภาพการเป็นลูกเสือแล้ว สภากรรมการจัดการลูกเสือมณฑลกรุงเทพฯ ก็ได้มีคำสั่งให้เลื่อนนามกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๓ (สวนกุหลาบวิทยาลัย) กองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๔ (เทพศิรินทร์) และกองลูกเสือกรุงเทพฯ ที่ ๕ (ปทุมคงคา) ขึ้นเป็นกองลูกเสือกรุงเทพฯที่ ๑, ๒, และ ๓ ตามลำดับ
          กรมนักเรียนเสือป่าหลวงคงจัดอัตรากำลังเป็น ๕ กองร้อยเรื่อยมาจนถึงกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเชียงใหม่ เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายในพระราชสำนักเมื่อสิ้นสุดปีการศึกษาในเดือนมกราคม ๒๔๖๘ แต่ยังมิทันที่จะได้ยุบเลิกโรงเรียนมหาดเล็กหลวงและกองร้อยที่ ๔ (มหาดเล็กหลวงเชียงใหม่) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระประชวรเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ กรมโรงเรียนในพระบรมราชู ปภัมภ์ซึ่งทำหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โรงเรียนราชวิทยาลัย และโรงเรียนพรานหลวง ก็ได้ถูกยุบเลิกไปพร้อมกับการจัดระเบียบราชการในพระราชสำนักเมื่อสิ้นปี พ.ศ. ๒๔๖๘ กรมนักเรียนเสือป่าหลวงที่มีอัตรากำลังเป็นนักเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์จึงต้องถูกยุบเลิกไปในคราวเดียวกันนั้น

 

 

ลูกเสือวชิราวุธวิทยาลัยในยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕

 

          ครั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนราชวิทยาลัยมารวมเข้ากับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง พร้อมกับพระราชทานนามให้ใหม่ว่า “โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชแล้ว ก็ได้มีพระราชดำริว่า นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยนั้นได้เป็นนักเรียนเสือป่าและได้เคยฝึกหัดวิชาทหารต่อเนื่องกันมาโดยตลอด หากจะละทิ้งเสียก็ทรงเสียดาย จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นักเรียนวชิราวุธวิทยาลัยคงฝึกหัดวิชาทหารตามหลักสูตร R.T.C. (Reserved Training Corps) ของอังกฤษ ควบคู่ไปกับการฝึกหัดวิชาลูกเสือที่ได้จัดตั้งกองขึ้นใหม่


 

นายพันโท หลวงพิบูลสงคราม (แปลก  ขีตตะสังคะ)

 
 

          ต่อมาภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายพันโท หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตะสังคะ) ผู้บังคับการกองผสมในการระงับเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ตระหนักถึงจิตใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญของลูกเสือที่ได้มีส่วนช่วยบำเพ็ญประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อนายพันเอก หลวงพิบูลสงคราม ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) แล้ว จึงได้มีแนวคิดในที่จะสร้างอนุชนรุ่นใหม่ให้เป็นพลเมืองที่มีจิตตานุภาพในการสู้รบ และเพื่อเตรียมพลเพื่อขยายกำลังรบในยามสงคราม อันจำเป็นต้องมีการฝึกสอนและผลิตนายทหาร นายสิบาตามอัตราศึก และเพื่อทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไปในเวลามีศึกสงคราม จึงได้ริเริ่มจัดตั้งหน่วยยุวชนทหารขึ้นตามแนวทาง “ยุวชนนาซี” ของพรรคแรงงานสังคมชาตินิยมเยอรมัน (The National Socialist German Workers' Party) โดยมอบหมายให้แผนกฝึกที่ ๖ กรมจเรทหารบกซึ่งต่อมายกฐานะขึ้นเป็นกรมยุวชนทหารและเปลี่ยนชื่อเป็นกรมเตรียมการทหาร เป็นผู้รับผิดชอบการฝึกหัดวิชาทหารซึ่งจัดแบ่งเป็น ๒ หลักสูตร คือ หลักสูตร “ยุวชนนายทหาร” สำหรับนักเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมการเป็นผู้บังคับหมวด และหลักสูตร “ยุวชนทหาร” สำหรับเตรียมนักเรียนชั้นมัธยมกลาง หรือชั้นมัธยมปีที่ ๔ - ๖ และนักเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษา ซึ่งเดิมเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย (มัธยม ๗ - ๘) เป็นกำลังสำรองระดับนายสิบหรือผู้บังคับหมู่ ส่วนลูกเสือนั้นคงเหลือการฝึกหัดอยู่แต่ในหมู่นักเรียนชั้นมัธยมต้นและชั้นประถมศึกษา

 

 

ยุวชนทหาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔

 

 

          ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๘๖ ได้มีการประสานโครงการยุวชนทหารกับลูกเสือเข้าด้วยกัน โดยการตราพระราชบัญญัติยุวชนทหารแห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๘๖ กำหนดให้มีองค์การยุวชนแห่งชาติขึ้น เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ กำหนดให้องค์กรยุวชนทหารเป็นทบวงการเมืองอยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีในตำแหน่ง “ผู้บัญชาการยุวชนแห่งชาติ” และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายยุวชนทหาร และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองผู้บัญชาการฝ่ายลูกเสือ กับได้มีการจัดกำลังยุวชนทหารทุกประเภททุกเหล่าบรรจุตามอัตราสงครามเป็น ๓ กองพล (๒๗ กองพัน) พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชา เตรียมการที่จะเข้าปฏิบัติการรบร่วมกับกองทหารประจำการได้ในทันที


          แต่เนื่องมาจากการฝึกหัดยุวชนทหารตามแนวทางยุวชนนาซีของพรรคแรงงานสังคมชาตินิยมเยอรมันนั้น นานาชาติต่างก็เห็นพ้องร่วมกันว่าเป็นแนวทางการอบรมเยาวชนที่เป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขของสังคมโลก เมื่อพรรคแรงงานสังคมชาตินิยมเยอรมันต้องล่มสลายลงพร้อมกับการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ ๒ นานาชาติจึงได้เห็นพร้อมกันให้ยุบเลิกการฝึกหัดยุวชนตามแนวทางยุวชนนาซี ซึ่งรัฐสภาของไทยก็ให้การยอมรับมติดังกล่าวและได้พร้อมกันตรา
“พระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติยุวชนแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๖” อันทำให้การฝึกหัดยุวชนทหารต้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๐ และพร้อมกันนั้นก็ได้มีการฟื้นฟูกิจการลูกเสือที่ “มุ่งสอนให้คนทุกคนใช้ความคิดของตนเองเพื่อทำการโดยลำพัง”  [ ] ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการตราพระราชบัญญัติลูกเสือ พ.ศ. ๒๔๙๐ ขึ้นใช้บังคับในวันเดียวกันนั้น


          แต่ในทางราชการทหารยังตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดเตรียมกำลังสำรองตามแนวพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๑ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้พร้อมกันตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๔๙๑ ขึ้นอีกฉบับหนึ่ง โดยความในมาตรา ๖ บัญญัติให้มีกรมการรักษาดินแดนเป็นส่วนราชการขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และในมาตรา ๑๐ ได้บัญญัติถึงหน้าที่ของกรมการรักษาดินแดนไว้ว่า
“มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการรักษาดินแดนเพื่อเป็นอุปกรณ์กองทัพในการป้องกันราชอาณาจักร”  [ ] ต่อจากนั้นมากรมการรักษาดินแดนก็ได้จัดการฝึกศึกษาวิชาทหารให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมปลายและนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

 

 
 

 

[ ]   รามจิตติ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. ประโยชน์แห่งเสือป่าและลูกเสือในเวลาสงคราม, หน้า ๔.

[ ]  “พระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๔๙๑”, ราชกิจจานุเบกษา ๖๕ (๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑), หน้า ๖๘-๗๗.
 

 

 

  |    |    |    |    |    |    |    |    |  ๑๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ ๑ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๑ - | ๑ - ๑๐ | ๐๑ - ๑๒ | ๒๑ - ๑๔ |

| ๑๔๑ - ๑๕๙ |