เมื่อเสวยเครื่องคาวเป็นที่พอพระราชประสงค์แล้ว
ถึงเวลาถวายชำระพระหัตถ์เพื่อกำจัดกลิ่นอาหารโดยเฉพาะพวกกลิ่นน้ำพริกที่ติดพระหัตถ์
เริ่มจากทรงทอดพระหัตถ์ออกมาเหนือพระสุพรรณราช
ทันใดนั้นคุณพระนายก็จะรินน้ำชำระพระหัตถ์จากคนโทเงินถวายพอเปียก
และเม็ดข้าวถูกชำระออกไปหมดก็หยุด
แล้วถวายฟอกด้วยสบู่เปียโซป (Pears Soap)
อย่างก้อนกลม เมื่อทรงฟอกด้วยสบู่แล้ว
คุณพระนายหยดน้ำหอมลาเวนเดอร์ถวายจนหมดสบู่
แล้วถวายน้ำดอกไม้สดลอยดอกมะลิกุหลาบ
เสร็จแล้วจึงถวายใบส้มป่อยทรงขยำ
แล้วทรงใช้ผิวมะกรูด แล้วถวายล้างด้วยน้ำดอกไม้เทศ
ต่อจากนั้นจึงหยิบผ้าซับพระหัตถ์คลี่ออกถวายทรงเช็ดแห้งดีแล้ว
บางทีก็ทรงวางลงที่โต๊ะทองคำหรือส่งคืนผู้ถวาย
ในขณะที่กำลังชำระพระหัตถ์นั้นคุณหลวงนายซึ่งเป็นผู้ช่วยก็จะจัดการเลื่อนพระสุพรรณภาชน์ออกมาทีละองค์
ส่งต่อๆ กันออกไปภายนอก
ซึ่งเจ้าพนักงานวรภาชน์จะคอยรับอยู่ข้างนอกพระทวาร
เสร็จแล้วจึงเชิญพระสุพรรณภาชน์องค์หวานสององค์เข้ามาทอดถวาย
บนพระสุพรรณภาชน์นี้จะมีส้อมหรือช้อนเตรียมมาพร้อม
เครื่องหวานที่มีรสหวานจัดๆ นั้น
ถึงจะจัดมาถวายก็ไม่ใคร่จะเสวยมากนัก
เครื่องหวานที่จัดถวายนั้น
แม้จะมีขนมไทยขนานดั้งเดิมอยู่บ้างเช่นฝอยทอง
วุ้นหวาน บรรจุพิมพ์
ก็เกือบจะไม่ค่อยทรงแตะต้องของที่หวานจัดเท่าใดนัก
จะมีก็แต่พวกผลไม้เช่นลูกตาลสดน้ำเชื่อม
มะตูมสดกับน้ำกะทิ สะท้อน (กระท้อน) ลอยแก้ว
ลิ้นจี่สดกับเยลลี่
นอกจากนั้นก็เป็นผลไม้ปอกคว้านต่างๆเช่น มะปราง
เงาะ น้อยหน่า ซึ่งมีวิธีทำที่พิสดารและพิเศษยิ่ง
อาทิ
๑. ลูกตาลสดน้ำเชื่อม ชาวห้องเครื่องหวาน
จะเลือกสรรหาเอาเฉพาะตาลอ่อนเต้าเล็กๆ
ขนาดลูกละพอคำ วิธีปอกเอาแต่เนื้อนั้น ใช้มีดทอง
(เหลืองของไทยที่นิยมใช้กันดั้งเดิมเป็นชุดรูปร่างต่างๆ)
ค่อยๆ ผจงลอกเปลือกล่อนออกหมดทั้งลูก
จนขาวใสสะอาดโดยไม่ช้ำแตก
ลูกตาลนี้จะถูกบรรจุลงในโถแก้วย่อมๆ
ที่มีฐานรองและฝาครอบทำด้วยเงิน
ฐานเงินที่รองชั้นล่างนั้นมีที่ว่างพอสำหรับใส่น้ำแข็งก้อนเล็กๆ
หล่อไว้ในโถแก้วเพื่อทำให้น้ำเชื่อมเย็น
โดยไม่ทำให้รสหวานจาง ในเมื่อน้ำแข็งละลายลง
๒. มะตูมน้ำกะทิ คือ
มะตูมสุกหอมเนื้อเป็นปุยสีจำปารสหวาน
ใช้ช้อนตักเป็นคำๆ เขี่ยเม็ดออกให้หมด
บรรจุลงในภาชนะโถแก้วอย่างเดียวกัน
แล้วใช้น้ำกะทิที่ปรุงรสเค็มมันพออร่อย
คล้ายครีมข้นๆราดข้างบน
๓. สะท้อน (กระท้อน) ลอยแก้ว
เลือกสะท้อนทับทิมอย่างดีชนิดเนื้อเป็นปุยขาว
ปอกเปลือกจนเหลือส่วนที่มีรสฝาดหรือเปรี้ยวเพียงน้อยที่สุด
เซาะเอาแต่ส่วนเนื้อที่รสหวานสีขาวรอบระหว่างเม็ด
ลอยลงในน้ำเชื่อมที่ปรุงรสหวานจัดอมรสกร่อยด้วยเล็กน้อย
น้ำเชื่อมลอยแเก้วนี้มักอบหอมด้วยกลิ่นดอกไม้ไว้ก่อนแล้ว
บรรจุภาชนะอย่างเดียวกันแช่เย็น
ส่วนผลไม้ปอกนั้น ถ้าหน้ามะม่วง
ก็ปอกเข้ามาถวายพร้อมข้าวเหนียว
มะม่วงนั้นปอกได้สวยงามกลมกลึงมากจนหารอยมีดแทบไม่พบ
แล้วจะฝานสองปีกออกทั้งสองแก้มผลมะม่วง
ตัดส่วนหัวและปลายทิ้ง
ใช้เฉพาะส่วนกลางเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม
ซึ่งหมายถึงว่าซีกหนึ่งก็จะได้ประมาณไม่เกิน ๒ -๓
องค์เท่านั้น วางเรียงกันไว้ในจานคู่กับข้าวเหนียว
ข้อสำคัญการปอกมะม่วงนั้นจะต้องไม่ให้ช้ำเลย
ถ้าเป็นมะปราง ก็จะปอกเล่นริ้วเล็กๆ
เป็นเกลียวเสมอกันตลอดลูก แล้วคว้านเอาเม็ดออก
จัดลงในชามแก้ว ลิ้นจี่หรือเงาะก็เช่นเดียวกัน
เฉพาะน้อยหน่านั้นออกจะพิสดารกว่าอย่างอื่น
โดยเมื่อผู้ใดเห็นผลน้อยหน่าทั้งเปลือกเขียวนวลวางมาในชามเครื่องหวานแล้ว
จะไม่ทราบได้เลยว่า
แท้จริงน้อยหน่านั้นชาวห้องเครื่องเขาได้เซาะเอาเม็ดออกตลอดลูก
โดยไม่ทำให้เนื้อภายในขาดหายและเละแหลกจนเสียรูปเลย
หนำซ้ำเมื่อทรงใช้ส้อมเขี่ยเอาเปลือกที่คลุมไว้อย่างแนบเนียนนั้นออกเป็นสองซีก
ก็จะเห็นน้อยหน่าเนื้อขาวที่ได้ถูกผจงแกะเอาเม็ดออกจนหมดแล้ว
แต่ยังคงรูปเป็นผลอยู่อย่างไม่มีอะไรบุบสลาย
พร้อมที่จะเสวยได้อย่างสะดวกที่สุด
โดยไม่ต้องห่วงว่าจะคงมีเม็ดเลย
 |
ปลอกซิการ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บริษัท
ซีปาปายาโนปูโลส จำกัด เป็นผู้จัดถวาย |
เมื่อเสวยเครื่องหวานเป็นที่พอพระราชประสงค์แล้ว
คุณพระนายและคุณหลวงนายจะถอนพระสุพรรณภาชน์ส่งคืนออกไป
ครั้นแล้วก็จัดการนำพานพระกล้องยาสูบ
[๑]
และพระโอสถทรงสูบเข้ามาตั้งถวายพร้อมที่เขี่ยเถ้าพระโอสถ
พระสุธารสชาจีนซึ่งทรงอยู่เป็นประจำ
เมื่อได้ทอดเครื่องเรียบร้อยแล้วมหาดเล็กทุกคนก็ก้มลงกราบถวายบังตมแล้วคลานถอยออกนอกพระทวารไป
เวรมหาดเล็กกองตั้งเครื่องชุดนี้เป็นอันหมดหน้าที่ราชการประจำวันลงในตอนนี้
เวรมหาดเล็กชุดใหม่เข้ามาประจำหน้าที่ต่อไป
หมายความว่า
นับแต่เสด็จลุกจากที่ประทับออกไปในตอนนี้แล้ว
หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไป
ณ ที่แห่งใดอีก
มหาดเล็กชุดที่เข้าเวรใหม่ต้องพร้อมที่จะรับหน้าที่ต่อไปได้ทันที
 |
ห้องพิพิธภัณฑ์ ภายในพระที่นั่งพิมานจักรี ชั้น ๒
พระราชวังพญาไท
ซึ่งเป็นที่ประทับเสวยพระกระยาหารกลางวันพร้อมฝ่ายใน |
อนึ่ง เมื่อทรงมีฝ่ายในแล้ว
ก็โปรดที่จะเสวยต้นร่วมกับฝ่ายในโดยมีคุณพนักงานฝ่ายในเป็นผู้ถวายการรับใช้แทนมหาดเล็ก
ดังที่คุณเจรียง (อากาศวรรธนะ) ลัดพลี
อดีตคุณข้าหลวงในสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี
พระวรราชชายา ได้เล่าไว้ว่า
"...ต่อมาสมเด็จฯ
[๒]
ทรงพระครรภ์ ที่พระราชวังพญาไทตอนบ่าย
ล้นเกล้าฯ จึงไม่เสด็จลงเสวยฝ่ายหน้า
ประทับเสวยที่ห้องโถงใหญ่บนพระที่นั่ง
[๓]
ตรงกับห้องทรงพระอักษรหลังคาแหลม
ทรงประทับกับพื้นพรมมีเบาะรองพระที่นั่งพระเขนยเป็นรูปหมอนขวานอิงติดกันเพียงสองพระองค์เท่านั้น
พระที่นั่งของล้นเกล้าฯ
จำได้ว่าเป็นสีเหลืองอ่อน ของสมเด็จฯ
เป็นสีชมพูและเล็กกว่า
มหาดเล็กเชิญเครื่องถ้วยพานกาไหล่ทองขอบบนเป็นลวดลายประดับเพชรพลอยสีต่างๆ
ใส่เครื่องถ้วยชาญเบญจรงค์หรือชามกังไสหลายพาน
ขึ้นมาส่งให้พวกพี่ๆ
ที่เป็นคุณพนักงานรอรับอยู่ข้างนอกและส่งต่อเข้ามาจนถึงคนตั้ง
พวกเด็กๆ เป็นคนตั้งเปลี่ยนเวรกัน
ที่ตั้งเป็นโต๊ะเตี้ยครึ่งพระองค์
ปูด้วยผ้าลินินขาว
การตั้งต้องตั้งให้ถูกแบบโดยได้รับการฝึกสอนมาจากพวกคุณมหาดเล็กรุ่นพี่
เช่น วางจานเสวยพระกระยาหารตรงพระพักตร์
ฉลองพระหัตถ์ช้อนซ่อมขวา ซ้าย มีด
แต่ไม่ทรงใช้เพราะเสวยด้วยพระหัตถ์
เครื่องจิ้มเป็นเครื่องเล็ก มีครบทุกอย่าง
น้ำปลา น้ำตาลเชื่อม น้ำพริกหลน
น้ำพริกเผา
สำหรับหลนกับน้ำพริกนั้นต้องมีต่างๆ
กันด้วย รวมแล้วในราว ๗ - ๘ ถ้วย
วางเรียงรอบจานเสวยเป็นวงพระจันทร์ครึ่งซีก
ต่อออกมาเป็นผักยำ พวกแกงอยู่รอบนอก
ปลาทูปลาดุกพวกทอดกรอบนั้นอยู่ทางขวา
จานผักที่พวกวรภาชน์ แกะ จัก สลัก สาน
จัดมานั้นสวยงามพึงพิศมาก
เกิดมาก็ไม่เคยเห็นที่ไหนเป็นรูปลายต่างๆ
กัน ทุกวัน แช่เย็นเจี๊ยบอยู่ทางซ้าย กมะลา
[๔]
เป็นคนตักพระกระยาหารซึ่งเป็นโถกังไสรูปสูงใส่มา
และจะมีเครื่องเคียงมาด้วย ๑ ที่เสมอ
เป็นข้าวคลุกกะปิ ข้าวยำปักศ์ใต้ ข้าวผัด
ข้าว ฯลฯ
ก็แล้วแต่พวกห้องเครื่องจะประดิษฐ์ใส่ชามเบญจรงค์สีมีฝา
พานรองขนาดใหญ่พอเสวยสองพระองค์ พระสุธารส
เครื่องดื่มใส่ถาดเงินมาอีก ๑ ถาด
เวลาเสวยพระกระยาหาร องค์ล้นเกล้าฯ
ท่านจะทรงดื่มเบียร์ใส่เหยือกเงินมีฝาปิดเปิด
หน้าที่นี้เป็นของท่านหญิงอรอำไพ
[๕]
จะคอยจัดถวายแล้วก็จะทรงรับสั่งคุยเรื่องราวต่างๆ
ตั้งแต่ทรงเสด็จประทับอยู่เมืองนอกที่อังกฤษ
ต้องทรงกวาดคอกม้า
ต้องทรงทำอะไรทุกอย่างเช่นสามัญชน
เรื่องขบขันต่างๆ เรื่องแปลกๆ ให้เรา
[๖]
ได้มีความรอบรู้เฉลียวฉลาด
มีความรู้รอบตัวซึ่งแล้วแต่จะทรงโปรดเกล้าฯ...
เวลาทรงเสวยก็ไม่เห็นเสวยอะไรมาก
โน่นนี่อย่างละองค์สององค์เท่านั้น
ที่เห็นล้นเกล้าฯ
ท่านทรงโปรดมากก็เห็นจะได้แก่
หนังหมูทอดกรอบเป็นท่อนยาวๆ
[๗]
เท่านิ้วชี้จิ้มกับน้ำปลาดี
นั่นแหละเสวยมากองค์หน่อย
และเช่นแกงแคลาวก็จะต้องมีใส่ขึ้นไปแทบทุกวันเท่าที่สังเกต
พอเสวยเสร็จ ท่านหญิงอรฯ กับท่านหญิงผ่องฯ
[๘]
เป็นผู้ถวายน้ำล้างพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์
จอกเงินมีขันน้ำพานรองคอยรดถวายที่พระหัตถ์
สบู่ที่ทรงฟอกจะเป็นสบู่มะนาวก้นแหลมรูปไข่
ถวายน้ำสบู่แล้วจะต้องคอยเอาน้ำหอมราเวนเดอร์หยดลงที่ตรงพระหัตถ์พร้อมกับที่ล้างสบู่นั้น
เพื่อดับกลิ่นของเครื่องต่างๆ จนหอมกรุ่น
และเช็ดพระหัตถ์ด้วยผ้าจีบอบหอมด้วยกลิ่นร่ำ
เครื่องคาวลงแล้วก็มีเครื่องหวานพระองค์ละชุด
มีขนมสมัยโบราณ เช่น ขนมเทียนนมสาว
ขนมหน้านวล สัมปันนี
ผลไม้นานาชนิดเท่าที่มีในหน้านั้น ปอก
คว้าน สลักเสลาด้วยฝีมือปราณีตงดงาม
เสร็จแล้วก็ถึงเครื่องดื่มเป็บเปอร์มินท์
(เหล้าเขียว) เป็นอันเสร็จ...
[๙] |
 |
ห้องเสวยและโต๊ะเสวยที่พระที่นั่งพิมานจักรี (ชั้นล่าง)
พระราชวังพญาไท |
ส่วนในเวลาเสวยพระกระยาหารค่ำนั้น
คงมีการถวายค็อกเทลและตีฆ้องสัญญาณเช่นเดียวกับเวลาเสวยกลางวัน
แต่การเสวยพระกระยาหารค่ำนี้ประทับโต๊ะเสวยแบบฝรั่งเต็มรูป
มีเจ้านายและเสนาบดีตลอดจนข้าราชการผู้ใหญ่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร่วมโต๊ะเสวยเป็นประจำทุกวัน
ผู้ที่ร่วมโต๊ะเสวยเป็นประจำมีเจ้าพระยาอภัยราชา
มหายุติธรรมธร (ม.ร.ว.ลพ สุทัศน์)
เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
ส่วนมหาดเล็กมีเจ้าพระยารามราฆพ พระยาอนิรุทธเทวา
และพระยาอุดมราชภักดี
ซึ่งล้วนเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมที่ทรงชุบเลี้ยงมาแต่เยาว์วัยจนได้รับราชการเป็นผู้ใหญ่ในกรมมหาดเล็ก
ในเวลาเสวยพระกระยาหารค่ำนี้โปรดให้คุณมหาดเล็กซึ่งเป็นนักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันถวายอยู่งานนวด
[๑๐]
ที่ใต้โต๊ะเป็นประจำทุกวัน
พอเสด็จลงประทับโต๊ะเสวย
คนใต้โต๊ะนั้นจะนั่งขัดสมาธิ
ถอดฉลองพระบาท
เชิญพระบาทมาอยู่บนหน้าตักทำหน้าที่ไล่ยุง
และถวายอยู่งานนวดทุกส่วนแห่งพระองค์แล้วแต่พระราชประสงค์
บางครั้งต้องถวายโถลงพระบังคลเบา
คนเข้าใต้โต๊ะนี้เริ่มเวลาราว ๑ ยาม
จนเสวยเสร็จ บางวันจนถึงตี ๓
บางครั้งบางคราวเสวยกับข้าวอะไรโปรดขึ้นมา
ยังพระราช-ทานให้คนใต้โต๊ะกินด้วย
เคยมีพระราชกระแสว่าคนที่อยู่ใต้โต๊ะนี้
ต้องหูโตแต่ปากแคบ
เพราะว่าเวลาประทับโต๊ะเสวยกับเจ้าพระยาเสนาบดีข้าราชการผู้ใหญ่
รับสั่งถึงเรื่องราชการแผ่นดินที่สำคัญ
เช่นจะประกาศสงครามกับประเทศท่ามกลางยุโรป
คนอยู่ใต้โต๊ะก็รู้ก่อนผู้อื่น
[๑๑] |
เนื่องจากเวลาเสวยพระกระยาหารค่ำนั้นเริ่มตั้งแต่สามทุ่ม
กว่าจะเสวยเสร็จก็ใกล้เที่ยงคืน
บางคืนก็ล่วงไปกว่านั้น จึงมีเรื่องเล่าต่อๆ
กันมาว่า
บางคราวมหาดเล็กที่เป็นเวรอยู่งานใต้โต๊ะนั้นมัวเพลินเที่ยวเล่นเพลินจนมิได้รับประทานอาหารเย็นมาก่อน
พอได้เวลาประทับโต๊ะเสวยมหาดเล็กที่อยู่งานใต้โต๊ะนั้นก็จะมักจะสะกิดขามหาดเล็กผู้ใหญ่ที่ร่วมโต๊ะเสวยในวันนั้น
ท่านผู้ใหญ่นั้นก็จะกรุณาจัดแบ่งอาหารใส่จานเล็กส่งลงไปให้ผู้อยู่งานใต้โต๊ะ
หรือบางทีไม่ทันใจมหาดเล็กนั้นก็จะไปหยิบอาหารที่จัดไว้ให้สุนัขทรงเลี้ยงที่ข้างโต๊ะเสวย
เจ้าสุนัขนั้นก็จะส่งเสียงขู่ให้ทราบถึงพระเนตรพระกรรณ
ก็มักจะมีรับสั่งว่า ไอ้พวกนี้แย่งหมากินอีกแล้ว
แต่ก็ไม่ปรากฏว่า ทรงกริ้วผู้นั้นแต่ประการใด
ในระหว่างเวลาประทับเสวยพระกระยาหารค่ำนั้น
กล่าวกันว่า
เมื่อทรงกริ้วผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นมาก็มักจะทรงกระทืบพระบาทลงไปลนตักของคุณมหาดเล็กผู้ถวายอยู่งานใต้โต๊ะ
โดยเฉพาะเวลาที่ทรงกริ้วพระยาสุจริตธำรง (อู๊ด
สุจริตกุล)
ซึ่งทรงนับว่าเป็นพระญาติสนิทนั้นจะทรงออกแรงมากเป็นพิเศษ
 |
พระยาสุจริตธำรง (อู๊ด สุจริตกุล) |
นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าในหมู่มหาดเล็กตั้งเครื่องอีกว่า
ไม่เคยมีใครถวายอยู่งานให้ในหลวงร้องว่าเจ็บได้เลย
แม้แต่พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตนานนท์)
[๑๒]
ซึ่งมีชื่อในเรื่องถวายอยู่งานนวด แต่แล้ววันหนึ่ง
พอเสวยได้หน่อยเดียว
ดูเหมือนพอซุบหมดจาน ในหลวงทรงร้องโอย
แล้วชักพระบาทขึ้นจากใต้โต๊ะ
ท่านที่นั่งร่วมโต๊ะเสวยพากันตกใจและประหลาดใจ
แต่ทันใดนั้นเองรับสั่งด้วยพระอาการขันๆ
ว่า
อ้ายหมอนั่นมันบีบสันหน้าแข็งฉันเจ็บพิลึกบ้าแท้ๆ
บีบที่ไหนไม่บีบดันไปบีบสันหน้าแข้ง
แล้วก็ทรงพระสรวลพลางใช้พระหัตถ์เลิกผ้าปูโต๊ะ
แล้วทรงก้มลงไปใต้โต๊ะรับสั่งว่า นวดดีๆ
ซีวะ อ้ายปรื๊อ
ความที่ทรงจำฝีมือได้ก็ทรงเรียกชื่อได้ทุกคนโดยไม่ต้องเห็นหน้า
เขาผู้นั้นเป็นชาวภูเก็ต
ซึ่งมักทรงเรียกผู้เป็นชาวใต้ว่าปรี๊อ
[๑๓] |
การเสวยต้นในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้
คงดำเนินมาตลอดรัชสมัยมาเลิกไปตั้งแต่เริ่มทรงพระประชวรในคืนวันที่
๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ และจากนั้นอีกเพียง ๒
สัปดาห์ก็เสด็จสวรรคตตอนกลางดึกของคืนวันที่ ๒๕
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘