โดย อ.วรชาติ มีชูบท

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |

ก่อนหน้า  |  ๖๑  |  ๖๒  |  ๖๓  |  ๖๔  |  ๖๕  |  ๖๖  |  ๖๗  |  ๖๘  |  ๖๙  |  ๗๐  |  ถัดไป  |

 

๖๗. ๑๐๐ ปี สายสัมพันธ์

กองทัพบกสยาม - บริเตนใหญ่ ()

 

 

          การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษครั้งนี้ ผู้คนโดยทั่วไปมักจะเชื่อกันว่า น่าจะมีที่มาจากการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศส่งเงินส่วนพระองค์ไปช่วยครอบครัวนายทหารราบเบาเดอรัมที่เสียชีวิตและบาดเจ็บทุพพลภาพในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในฐานที่เคยทรงประจำรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัมเมื่อครั้งเสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ

 

 

ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ Daily Express และ Evening News

ที่ลงข่าวการพระราชทานเงินช่วยครอบครอบครัวนายทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัม

ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในสงครามโลกครั้งที่ ๑

 

 

          นอกจากนั้นยังมีนักประวัติศาสตร์บางคนเข้าใจไปว่า การที่ได้ทรงรับยศเป็นนายพลเอกพิเศษของกองทัพบกอังกฤษครั้งนี้เป็นวิเทโศบายหนึ่งของอังกฤษในการโน้มน้าวให้ทรงประกาศเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยอ้างถึงความกังวลของอุปทูตเยอรมันและออสเตรียที่เกรงว่ารัฐบาลสยามจะละทิ้งความเป็นกลาง อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสยามได้ช่วยจับพวกอินเดียที่คิดขบถ รวมทั้งได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปช่วยภรรยาและบุตรของทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัม ((Duhram Light Infantry) และต่อมาสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ พระราชาธิบดีแห่งประเทศอังกฤษได้มีพระราชโทรเลขมาอัญเชิญให้ทรงรับยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ และนอกจากจะทรงตอบรับพระราชไมตรีดังกล่าวแล้ว ยังได้ทรงเชิญสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ ให้ทรงเป็นนายพลเอกของกองทัพบกสยาม

 

          แต่กรณีดังกล่าวนั้นคงไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ เพราะปรากฏว่า แม้จะทรงได้รับยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษแล้วก็ตาม ก็ยังทรงดำเนินพระบรมราชวิเทโศบายรักษาความเป็นกลางมาโดยเคร่งครัดต่อมาอีกหลายปี ดังมีพยานปรากฏว่า ในการประชุมเสนาบดีสภาเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ์) สภาเขานุการเสนาบดีสภา อ่านพระราชบันทึกแนวพระราชดำริในการรักษาความเป็นกลางของกรุงสยามให้ที่ประชุมเสนาบดีทราบ ความตอนหนึ่งว่า

 

          "ฐานะแท้จริงของกรุงสยามนั้น เป็นอยู่อย่างไร อาณาเขตของเราตกอยู่ในท่ามกลางระหว่างแดนของอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะฉะนั้น ถ้าแม้เราแสดงความลำเอียงเข้าข้างเยอรมันแม้แต่น้อย เพื่อนบ้านผู้มีอำนาจ ก็คงจะได้ชนเอาหัวแบนเมื่อนั้น การที่อังกฤษ ฝรั่งเศส เขายอมให้กรุงสยามคงเป็นกลางอยู่นั้น ก็เพราะเขายังไม่เห็นความจำเป็นที่จะให้เราเข้ากับเขาเท่านั้น และถ้าเมื่อใดเขารู้สึกว่าความเป็นกลางของเราเป็นเครื่องกีดขวางแก่เขาแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยเขาคงจะไม่ยอมให้เราคงเป็นกลางอยู่เป็นแน่แท้"  []

 

          ทว่าในเวลาที่ทรงนำเรื่องนี้หารือในที่ประชุมเสนาบดีสภานั้น ทรงตระหนักแน่ด้วยพระปรีชาญาณทางการทหารแล้วว่า กลุ่มมหาอำนาจกลางซึ่งนำโดยเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีหมดหนทางที่จะเอาชนะในมหาสงครามครั้งนี้แล้ว และถ้าสยามยังคงเป็นกลางต่อไปก็คงจะมีแต่ เสมอตัว กับ ขาดทุน เพราะถ้าอังกฤษและฝรั่งเศสใจดีก็เสมอตัว แต่ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทมาว่า ฝรั่งเศสจะขอให้สยามไล่ชาวเยอรมันที่ทำราชการออกทั้งหมด และให้เราทำสัญญาการค้าใหม่ให้เขาได้เปรียบเยอรมัน ซึ่งจะเป็นเหตุให้เราต้องวิวาทกับเยอรมันโดยไม่มีใครมาช่วย แต่ถ้าเราเข้าข้างสัมพันธมิตรเสียแล้ว ก็มีแต่ ทางได้ กับ เสมอตัว เพราะเมื่อสงครามสงบลงแล้วเราสามารถใช้ประโยชน์จากการเป็นชาติที่ชนะสงครามเจรจากับนานาชาติเพื่อแก้ไขสนธิสัญญาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและแก้พิกัดภาษีศุลกากร

 

          อนึ่ง ในเวลานั้นความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วว่า ทั้งฝรั่งเศสและรัสเซียต่างก็รู้สึกเป็นเกียรติที่สยามจะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่อังกฤษยังคงแสดงท่าทีคัดค้านเพราะคำนึงถึงประโยชน์ทางการค้าอยู่ และถ้าสยามไม่คำนึงถึงท่าทีของอังกฤษแล้ว อังกฤษก็คงจะไม่ยอมรับและคงจะตอบรับการเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรของสยามเช่นเดียวกับที่ตอบประเทศจีนไปก่อนหน้านั้นว่า "ไม่รู้ไม่ชี้ จะทำสงครามกับเยอรมันก็ทำไปตามลำพัง"

 

          เมื่อที่ประชุมเสนาบดีสภาได้พิจารณาในรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช และพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้เสนอความเห็นว่า หากสยามจะเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ ต้องทำอย่างมีเกียรติ ที่ประชุมเสนาบดีสภาในวันนั้นจึงได้มีมติว่า "สยามตกลงจะคุมเชิงไว้จนอังกฤษเปลี่ยนแนว"

 

          แต่อังกฤษก็ยังคงยืนกรานตามแนวทางเดิมตลอดมา ในการประชุมเสนาบดีสภาเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดโดยเชิญทูตสัมพันธมิตรมาหารือพร้อมๆ กัน แต่การนี้ก็ยังไม่เกิดผลอันใดจนกระทั่งวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ จึงทรงแจ้งให้ที่ประชุมเสนาบดีสภาทราบว่า อังกฤษตอบรับแสดงความยินดีที่ประเทศสยามจะเข้าสงครามและร่วมรบในสงคราม ณ ทวีปยุโรป แต่อังกฤษเกี่ยงว่า ทหารไทยเท่าที่ปรากฏไม่เคยได้รบกับใครมาก่อน จึงจะให้ทหารไทยไปขนสัมภาระผ่านทะเลทรายเมโสโปเตเมียและส่งเสบียง ทรงเห็นว่า ข้อเสนอของอังกฤษนี้เป็นการหมื่นเกียรติยศทหารไทย จึงทรงหันไปเจรจากับฝรั่งเศส และเมื่อทูตฝรั่งเศสนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า กองทัพฝรั่งเศสกำลังขาดแคลนเรื่องการพาหนะ ทั้งเรื่องกองยานยนต์ นักบิน รวมทั้งเรื่องพยาบาลสนาม ขอให้สยามช่วยใน ๓ เรื่องนี้ เมื่อทรงเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอของฝรั่งเศส จึงได้ทรงเตรียมการประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีเป็นลำดับต่อมา

 

 

พลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา)

เมื่อครั้งเป็น นายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์

 

 

          ดังนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่า การที่ทรงตัดสินพระราชหฤทัยเข้าร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ทรงได้รับยศนายพลเอกพิเศษของกองทัพบกอังกฤษแต่อย่างใด แล้วเหตุใดที่ทำให้สมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ คัดสินพระทัยถวายพระเกียรติยศทางทหารแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า

 

 

แผนที่แสดงการยกกำลังเข้าโจมตีลิเอซของกองทัพเยอรมัน

เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๗

 

 

          เจ้าอยู่หัวนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นผลสืบเนื่องจากการที่ได้ทรงแสดงพระปรีชาญาณทางทหารให้เป็นที่ประจักษ์ชัดตั้งแต่ครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสประเทศเบลเยี่ยม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ซึ่งพลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) มหาดเล็กข้าหลวงเดิมและอดีตแม่ทัพไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้บันทึกไว้ว่า "...ได้เสด็จไปทอดพระเนตรป้อมต่างๆ ของประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งในขณะนั้นถือกันว่าเป็นป้อมที่ทันสมัยที่สุดในยุโรป..."  []  และในการพระราชทานเลี้ยงลานักเรียนนายร้อยผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา [] ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมในค่ำวันเดียวกันนั้นเอง ทรงเล่า "...ถึงป้อมเมืองลิเอซ ถึงสะพานและช่องทางที่ข้าศึกอาจยกเข้ามา ได้ทรงทำนายไว้ว่า เยอรมันจะต้องยกเข้ามาทางนั้น ...และใน ค.ศ. ๑๙๑๔ คือ ๑๓ ปีภายหลัง กองทัพเยอรมันก็ได้โจมตีลิเอซตามทางที่ทรงทำนายไว้จริงๆ..."  []

 

 

(จากซ้าย)

๑. นายพลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จเรทัพบก และราชองครักษ์พิเศษ

๒. นายพันเอก สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ

๓. นายพันตรี พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร ผู้ช่วยกรมกลาง กรมยุทธนาธิการ

๔. นายพลโท พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ และราชองครักษ์พิเศษ

 

 

          นอกจากนั้นเมื่อเสด็จนิวัตพระนครใน พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว ยังได้ทรงร่วมกับพระเชษฐาและพระอนุชาพัฒนากองทัพบกสยามจนสามารถจัดวางกำลังกองทัพบกเป็น ๑๐ กองพลกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ และเมื่อเสด็จดำรงสิริราชสมบัติใน พ.ศ. ๒๔๕๓ แล้ว ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๕๔ ยังได้ทรงใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการทำสงครามทางบก ซึ่งผู้แทนรัฐบาลสยามได้ร่วมลงนามไว้ในการประชุมสันติภาพที่กรุงเฮหเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ โดยทรงจัดตั้งกองเสือป่าเป็นกองกำลังอาสาสมัครรักษาดินแดนซึ่งได้รับการคุ้มครองตามข้อตกลงการทำสงครามนั้นเสมอด้วยกำลังทหารในกองทัพบก

 

          ในชั้นนี้จึงน่าจะกล่าวได้ว่า ด้วยพระปรีชาญาณทางการทหารที่ทรงแสดงให้ปรากฏตั้งแต่ครั้งยังมีพระชนมายุเพียง ๒๐ พรรษาเศษ และทรงเป็นเพียงนายทหารหนุ่มที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ของอังกฤษ รวมทั้งพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญให้เห็นชัดในตอนต้นรัชกาลนั้นน่าจะเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ ๕ ถวายพระยศพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

 

 


[ ]  ม.ล.ปิ่น มาลากุล. "ก่อนประกาศสงคราม", มานวสาร ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๗ (กรกฎาคม ๒๕๒๒), หน้า ๙.

[ ]  พลเอก พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา). "ความอาลัยรัก", รวมเรื่องเบ็ดเตล็ดของพระยาเทพหัสดินฯ, หน้า ๒๘.

[ ]  ต่อมาได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น นายพลตรี พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ หัวหน้ากองทูตทหารและแม่ทัพใหญ่ฝ่ายไทยในงานพระราชสงครามทวีปยุโรป (สงครามโลกครั้งที่ ๑) สุดท้ายได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น พลเอก พระยาเทพหัสดิน

[ รวมเรื่องเบ็ดเตล็ดของพระยาเทพหัสดินฯ, หน้า ๒๙.

 

 

ก่อนหน้า  |  ๖๑  |  ๖๒  |  ๖๓  |  ๖๔  |  ๖๕  |  ๖๖  |  ๖๗  |  ๖๘  |  ๖๙  |  ๗๐  |  ถัดไป  |

บทความปัจจุบัน | บทความย้อนหลัง : ตอนที่ - ๒๐ | ๒๑ - ๔๐ | ๔๑ - ๖๐ | ๖๑ - ๘๐ | ๘๑ - ๑๐๐ | ๑๐๑ - ๑๒๐ | ๑๒๑ - ๑๔๐ |

| ๑๔๐ - ๑๖๐ | ๑๖๑ - ๑๖๖ |