แต่ในปีเถาะ รัตนโกสินทรศก ๑๒๒ พุทธศักราช ๒๔๔๖
เมื่อจัดวางการมณฑลนครราชสีมา
เห็นการจะสำเร็จได้จึงใช้ข้อบังคับนั้นจัดต่อออกมาอีก
๓ มณฑล คือ มณฑลนครสวรรค์หนึ่ง,
มณฑลพิษณุโลกหนึ่ง, มณฑลราชบุรีหนึ่ง,
เมื่อจัดการทั้ง ๔ มณฑลนี้
เห็นเป็นผลดีจะจัดได้ทั่วไป
จึงตราพระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร
เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ปีมะเส็ง รัตนโกสินทรศก
๑๒๔ พุทธศักราช ๒๔๔๘ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียบเรียงพระราชบัญญัตินี้เอง
ด้วยเสด็จดำรงตำแหน่งที่จเรทหารบก
และเป็นที่ปฤกษาหารือของกรมหลวงนครไชยศรีฯ
อยู่ในเวลานั้น
วิธีเกณฑ์ทหารตามพระราชบัญญัตินี้ว่าแต่โดยเนื้อความ
บรรดาชายเมื่อมีอายุถึงฉกรรจ์ต้องมาเข้าทะเบียนเป็นทหารรับราชการประจำอยู่
๒ ปี เมื่อรับราชการครบ ๒ ปีแล้ว
ปลดออกเป็นกองหนุนชั้นที่ ๑
มีหน้าที่เข้ามาฝึกซ้อมปีละ ๒ เดือน
นอกจากนั้นปล่อยให้ทำมาหากินตามสบาย
เมื่ออยู่ในกองหนุนชั้นที่ ๑ ครบ ๕ ปีแล้ว
ปลดออกเป็นกองหนุนชั้นที่ ๒ พวกกองหนุนชั้นที่ ๒
มีหน้าที่เข้ามาฝึกซ้อมเพียงปีละ ๑๕ วัน
เมื่ออยู่ในกองหนุนชั้นที่ ๒ ครบ ๑๐ ปีแล้ว
เป็นปลดพ้นราชการทหาร
เมื่อประกาศพระราชบัญญัติแล้วได้ประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติตามมณฑลโดยลำดับมาดังนี้
:
๑. มณฑลนครราชสีมา ๒. มณฑลนครสวรรค์ ๓.
มณฑลพิษณุโลก ๔. มณฑลราชบุรี ๔ มณฑลนี้ได้จัดการตามข้อบังคับมาแล้ว
ใช้พระราชบัญญัติแต่วันประกาศเป็นต้นมา.
๕. มณฑลกรุงเก่า ๖. มณฑลนครไชยศรี ๒
มณฑลนี้ใช้พระราชบัญญัติแต่วันที่ ๑ เมษายน
ปีมะเมีย รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ พุทธศักราช ๒๔๔๙.
๗. มณฑลปราจีน ใช้พระราชบัญญัติวันที่ ๑ เมษายน
ปีมะแม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ พุทธศักราช ๒๔๕๐.
๘. มณฑลกรุงเทพฯ ๙. มณฑลจันทบุรี ๒
มณฑลนี้ใช้พระราชบัญญัติวันที่ ๑ เมษายน ปีวอก
รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ พุทธศักราช ๒๔๕๑
มณฑลอื่นนอกจากที่กล่าวมานี้
เป็นมณฑลอยู่ชายพระราชอาณาเขต
ใช้แต่ข้อบังคับเกณฑ์คนเป็นตำรวจภูธร
เพื่อให้คุ้นเคยแก่การฝึกหัดเสียก่อน
พึ่งมาประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารในรัชกาลที่
๖ คือ :
๑๐. มณฑลพายัพ ๑๑. มณฑลอุดร ๑๒. มณฑลอุบลราชธานี
๑๓. มณฑลร้อยเอ็ด ๔
มณฑลนี้ใช้พระราชบัญญัติเมื่อวันที่ ๑ เมษายน
พุทธศักราช ๒๔๕๗
๑๔.มณฑลนครศรีธรรมราช ๑๕. มณฑลปัตตานี ๑๖.
มณฑลสุราษฎร์ธานี ๑๗. มณฑลภูเก็ต ๑๘.
มณฑลเพ็ชรบูรณ์ ๕
มณฑลนี้ใช้พระราชบัญญัติมื่เอวันที่ ๑ เมษายน
พุทธศักราช ๒๔๕๙
เป็นอันได้ใช้พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารทั่วทั้งพระราชอาณาจักรเมื่อพุทธศักราช
๒๔๕๙ นี้."
[๑] |